29. พันธมิตรฯ  รำลึกพงหนามของประชาธิปไตยไทยกับความจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ  (ต่อ)
 
“ระบอบทักษิณ” เริ่มถูกวิพากษ์ทางความคิดอย่างจริงจัง  โดยเหล่าปัญญาชนระดับชั้นนำของประเทศตั้งแต่ช่วงต้นปี 2547 เป็นต้นมา  ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน “ปรากฏการณ์สนธิ” ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2548  ถึงหนึ่งปีครึ่งกว่า  และเกิดก่อนการก่อตัวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึงสองปีเต็ม
งานสัมมนาระดมความคิดจากนักคิด  และปัญญาชนหัวก้าวหน้าชั้นนำของประเทศนี้ถึง 30 คน เรื่อง “ระบอบทักษิณ ความเป็นมา  และความเป็นไปในอนาคต” ที่จัดขึ้นถึงสองวันเต็มในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2547  โดยนิตยสาร “ฟ้าเดียวกัน”  ถือเป็นครั้งแรกที่มีการวิเคราะห์ระบอบทักษิณในเชิงความคิด  และวิชาการอย่างจริงจังก็เห็นจะไม่ผิดนัก
ยศ สันตสมบัติ มองว่า  เงื่อนไขสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่นำไปสู่การสถาปนาระบอบทักษิณ คือ  ความสำเร็จของพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้านั้น ภายใต้การนำของชวน หลีกภัย  อดีตนายกรัฐมนตรี ในการพัฒนาระบอบเลือกตั้งอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ จนทำให้คำว่า  “ประชาธิปัตย์” มีความหมายเพียงแค่การเลือกตั้ง  หรือการได้มาซึ่งคะแนนเสียงจากประชาชนเท่านั้น
ทั้งๆ ที่ในอดีตก่อนหน้านั้น  พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากภาพลักษณ์ของผู้มีอุดมการณ์แบบเสรีนิยมที่ต่อต้านระบอบเผด็จการทหาร  และด้วยภาพลักษณ์เช่นนี้เองที่ช่วยทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยืนยงอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้  ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์นี้ ไม่เคยมีความสามารถในการบริหารจัดการ  และไม่เคยมีนโยบายที่ชัดเจนเป็นเอกลักษณ์ของตนเลย มุกหาเสียงที่พรรคนี้นิยมใช้  จึงเป็นแค่มุกของพรรคที่พยายามโฆษณาตัวเองว่า “เลวน้อยกว่า” พรรคการเมืองอื่นๆ  เท่านั้น
ครั้นเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของชวน หลีกภัย  หัวหน้าพรรคได้มีโอกาสเป็นรัฐบาลถึงสองสมัย  มีโอกาสเต็มที่ในการปฏิรูประบบการเมืองไทย  มีโอกาสที่จะส่งเสริมความเข้มแข็งให้แก่การเมืองภาคประชาชน  แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับไม่ได้ทำเท่าที่ควรในเรื่องการปฏิรูปการเมือง  และยังปฏิเสธการเมืองภาคประชาชนมาโดยตลอด เพราะรัฐบาลชวนเชื่อแบบผิดๆ ว่า รัฐบาล  คือ เวทีการเมืองเพียงหนึ่งเดียวสำหรับการตัดสินใจในกิจการสาธารณะต่างๆ  ของประเทศ
มิหนำซ้ำที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยสนใจคนรากหญ้า  คนด้อยสิทธิที่เดือดร้อนจากโครงการของรัฐ  ไม่เคยแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนตัวเล็กๆ หากแต่ตะบันอ้างกฎหมาย  และหลักการเป็นสรณะ จึงทำให้ชวน หลีกภัย  มีภาพลักษณ์ของลูกชาวบ้านที่เข้าข้างนายทุนมาโดยตลอด  ครั้นเมื่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้สูญเสียแรงศรัทธาจากชนชั้นกลาง  เพราะไม่สามารถแก้วิกฤตฟองสบู่และบริหารจัดการเศรษฐกิจของชาติ ไม่เข้าตาประชาชน  ครั้นจะหันกลับไปหาชาวบ้านระดับล่างก็ไปไม่ได้เสียแล้ว นี่แหละจึงทำให้  ระบอบเลือกตั้งที่รัฐบาลชวนได้พัฒนาขึ้นมาอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์กลับกลายมาเป็นพื้นฐานให้พรรคไทยรักไทยของ  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ช่วงชิงอำนาจรัฐไปได้โดยง่าย ด้วยการสร้างจุดขายแนวประชานิยม  และนำเสนอออกมาเป็นนโยบายที่โดนใจประชาชน
ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  ได้ใช้การเน้น การสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ตัวเองอย่างต่อเนื่อง  ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงการเลือกตั้งเท่านั้น  โดยทำให้ระบอบเลือกตั้งที่พัฒนาขึ้นมาในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย กลายมาเป็น  การเมืองเรื่องภาพลักษณ์ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในสังคมไทย
เกษียร เตชะพีระ  ได้วิเคราะห์อย่างแหลมคมว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้ทำให้ กลุ่มทุนใหญ่  สามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองได้โดยตรงมากขึ้น  ขณะที่นักการเมืองหรือนักเลือกตั้งลดอำนาจลง ส่วนเสียงของ ชาวเมืองชนชั้นกลาง  ก็มีน้ำหนักมากขึ้นในการเมืองระดับชาติ ขณะที่ ชาวชนบท ได้เปลี่ยนฐานะบทบาทจาก  ผู้รับการอุปถัมภ์ ในเครือข่ายอุปถัมภ์-เลือกตั้ง ของระบอบเลือกตั้งเดิม กลายมาเป็น  ผู้บริโภคนโยบาย ที่ถูกกำหนดมาจากส่วนกลางเบื้องบนอย่างเชื่องๆ
นอกจากนี้  พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ “ถอดรื้อ” ระบอบเลือกตั้งเดิมๆ  ที่เป็นเหมือนร้านค้าโชวห่วยรายย่อยของ  ส.ส.ผู้มีอิทธิพลสังกัดมุ้งนักเลือกตั้งต่างๆ ที่ “ขายปลีกอุปถัมภ์”  แก่พวกชาวบ้านให้กลายมาเป็นเหมือนซูเปอร์สโตร์รายใหญ่ โดยเดินแนวทางมวลชนแบบ 3  รับเหมาที่ปรับใช้กับองค์กรธุรกิจทุนนิยม คือ เหมาซื้อ รับเหมาทำงาน  และเหมาลูกค้าทั้งหมด  มิหนำซ้ำพรรคไทยรักไทยซึ่งแกนนำเป็นนายทุนใหญ่ระดับชาติที่มีฐานอยู่กรุงเทพฯ  แทนที่จะพึ่งพาอาศัยเส้นสายนักเลือกตั้งมาเป็นนายหน้าคนกลางทางการเมือง  เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ออกเสียงเลือกตั้งซึ่งจะจำกัดอำนาจต่อรองทางการเมืองของกลุ่มทุนใหญ่เจ้าของพรรค
พวกนายทุนใหญ่เหล่านี้กลับทำการเมืองเป็นเรื่องนโยบายระดับชาติ  โดยทำการตลาดแบบขายตรงนโยบายให้แก่ชาวบ้าน โดยมีนโยบายเป็นตัวสินค้า  และการอุปถัมภ์เป็นบริการหลังการขาย จากนั้นก็ค่อยๆ  กดดันลดทอนอิทธิพลของนายหน้าคนกลางทางการเมืองตัวใหญ่ๆ  เจ้าของร้านโชวห่วยหรือเจ้าพ่อ-หัวคะแนนทั้งหลายจึงค่อยๆ แปรสภาพไปเป็นแค่เซลส์แมน  และผู้จัดการสาขาของพรรค ซึ่งเปรียบเสมือนสำนักงานใหญ่ของซูเปอร์สโตร์ โดยมีนายกฯ  ทักษิณ ชินวัตรเป็นซีอีโอหรือเถ้าแก่ของพรรค
เป็นที่น่าสังเกตว่า  ก่อนการเถลิงอำนาจของพรรคไทยรักไทยนั้น การเมืองไทยมีแต่ พรรคอุปถัมภ์ แต่ไม่เคยมี  พรรคชนชั้น เพราะระบอบเลือกตั้งบนฐานรัฐรวมศูนย์อย่างของประเทศไทย  ได้กลายเป็นตัวขัดขวางและสลายการเรียกร้องผลประโยชน์ของกลุ่มมวลชน และชนชั้นต่างๆ  ในสังคมอย่างเป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง  หากกลุ่มชนและชนชั้นใดไม่มีเส้นสายอุปถัมภ์กับนักเลือกตั้ง  พวกเขาก็จะประสบปัญหาที่จะเรียกร้อง  และนำเสนอผลประโยชน์ของตนให้เข้าถึงหรือเข้าสู่ระบบการเมือง
เรื่องนี้เป็นความจริงแม้กับกรณีของชนชั้นนายทุนไทยเอง  เพราะการไม่มีทั้งลักษณะประชาชาติ  และลักษณะทางชนชั้นทำให้พรรคการเมืองในประเทศไทยกลายเป็นเพียงกลุ่มผลประโยชน์โดยตัวเอง  หรือเป็นแค่เครือข่ายอุปถัมภ์ของบุคคลจากชนชั้นต่างๆ  ที่มุ่งดูดถ่ายผลประโยชน์ที่รัฐเอามาจากสังคมมาสู่กลุ่มของพวกตน ด้วยเหตุนี้  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่พรรคการเมืองในประเทศไทยก่อนหน้านี้  หรือก่อนมีพรรคไทยรักไทย  มักไม่มีนโยบายที่ต่างกันอย่างชัดเจน
กล่าวในความหมายนี้  พรรคไทยรักไทยขณะนั้นได้ “ทำใหม่” ทางการเมืองใน 3 เรื่องด้วยกัน  ซึ่งมีผลทำให้พรรคนี้เปลี่ยนแปลงสภาพจาก พรรคอุปถัมภ์ ไปสู่  พรรคชนชั้นของกลุ่มทุนใหญ่ โดยตรงอย่างแท้จริง คือสร้าง  นโยบายประชานิยมเพื่อทุนนิยมสามานย์  ที่มุ่งขายตรงให้คนชนบทรากหญ้าแปลงสูตรรัฐบาลผสมไปเป็น รัฐบาลพรรคเดียว  ด้วยการดึงและดูด ส.ส.ต่างพรรค  ต่างมุ้งมาเข้าร่วมรัฐบาลให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้เปลี่ยนจากการอุปถัมภ์ส่วนตัวหรือการขายปลีกอุปถัมภ์ไปเป็น  การอุปถัมภ์โดยรัฐอย่างถูกกฎหมาย 
ด้วยเหตุนี้ พรรคไทยรักไทยของ  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงกลายเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกของชนชั้นนายทุนใหญ่ไทย  เพื่อชนชั้นนายทุนใหญ่ไทย และโดยชนชั้นนายทุนใหญ่ไทยอย่างแท้จริง  ภายใต้ระบบทุนนิยมสามานย์อย่างเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  
อย่างไรก็ดี แนวทางประชานิยมของรัฐบาลทักษิณนั้น เป็น  การเมืองแนวร่วมข้ามชนชั้น  เพื่อกระจายโภคทรัพย์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นการรับใช้ทุนนิยมสามานย์อย่างเต็มตัว  จะเห็นได้จากการใช้สินเชื่อจากภาครัฐ  ซึ่งกระจายไปถึงมือชาวบ้านชนบทแล้วมักถูกนำไปจับจ่ายซื้อหาสินค้าคงทนในประเทศอย่างโทรศัพท์มือถือ  จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า จนไปไกลถึง นโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน  ซึ่งเป็นการสืบทอดต่อเนื่องแนวทางปฏิรูปที่ดินของรัฐราชการไทยแต่เดิมที่  “เอาที่ดินจากรัฐ จากหลวงมาให้คนจน”  แต่ทว่าได้หักเหผลักดันทิศทางของมันให้หันมารับใช้ทุนนิยมสามานย์อย่างเต็มตัว  เพราะภายใต้ระบอบทักษิณนี้มันเป็นการเอาที่ดินจากรัฐจากหลวงมาให้คนจนในตลาด  ซึ่งคนจนจะสูญเสียที่ดินนั้นไปให้คนรวยอีกจนได้ในท้ายที่สุด
จึงเห็นได้ว่า  แนวทางพัฒนาแบบประชานิยมของระบอบทักษิณนั้น  เป็นไปเพื่อรับใช้ระบบทุนนิยมสามานย์โดยแท้ นั่นคือ ทำทุกอย่างให้เป็นสินค้า  และจะทำให้ชาวนาหมดสิ้นความเป็นชาวนาในที่สุด เพราะส่วนใหญ่จะอ่อนแอ พ่ายแพ้  ล้มเหลว หรือล้มละลาย ในตลาดที่ต้องแข่งขันและมีความเสี่ยงสูง  สุดท้ายก็ต้องกลายสภาพเป็นแรงงานรับจ้างหรือกรรมาชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
*  * *
นับตั้งแต่ย่างเข้าปี 2547 เป็นต้นมา  รัฐบาลทักษิณได้ประสบกับปัญหาหลายเรื่องที่ประดังเข้ามาไม่ขาดสาย  ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าหนักอกหนักใจทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไข้หวัดนก  ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องการคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ  ปัญหาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) โดยเฉพาะกับจีนที่ไม่เป็นไปตามที่เคยคาดหวังไว้ ฯลฯ  แต่รัฐบาลทักษิณในขณะนั้น ก็มิได้หวั่นไหวเพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้เลย  โดยหารู้ไม่ว่า อีกไม่นาน ระบอบทักษิณจะเผชิญกับวิกฤตที่ร้ายแรงอันเนื่องมาจาก  ขบวนการต่อต้านทักษิณ