แนวทางการเสริมสร้างระบบภูมิชีวิตอย่างบูรณาการ
เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคร้ายแรงอื่นๆ (12)
(16/8/2554)
*นักสู้ 7 มะเร็ง*
นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า “หมอเทวดา” จากผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง และรอดชีวิตมาเป็นจำนวนมาก เคยกล่าวว่า มะเร็งคือโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์ราวใบไม้ร่วง มะเร็งเป็นโรคที่คอยไม่ได้ กินทุกวินาที กินร่างกายผู้ป่วยแม้ขณะหลับหรือตื่นดุจไฟลามทุ่ง มะเร็งคือขโมยซึ่งเข้าบ้านเราโดยไม่รู้ตัว เพราะทุกคนที่เป็นมะเร็งจะไม่รู้ตัวทั้งนั้น มารู้เมื่อมันโผล่มาแล้ว
มะเร็งคือ ผู้ร้ายซึ่งร้ายที่สุด และหนีตำรวจสุดฤทธิ์ ตำรวจไล่ไม่มีทัน ขณะที่การรักษาสมัยใหม่คือ การไล่รักษา และทำได้แค่ไล่รักษา ลองไปเรื่อยๆ เท่านั้น สุดท้าย มะเร็งคือฝุ่นผงที่กวาดเท่าไหร่ก็ไม่มีหมด มะเร็งชอบซุกซ่อนอยู่ตามอวัยวะในร่างกาย ไม่รู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหน อยู่ดีๆ ผ่านไปสิบปีมันก็โผล่ออกมาเล่นงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะต่อให้ไปผ่าตัดเอาก้อนเนื้อร้ายนั้นออก แต่เชื้อมะเร็งไม่ได้อยู่ในก้อนเนื้ออย่างเดียว มันอยู่ในเลือด ในน้ำเหลือง ในเนื้อเยื่อมีสิทธิงอกหรือกระจายใหม่ได้ทุกเมื่อ การผ่าตัด การฉายรังสี การใช้เคมีบำบัดของแพทย์แผนปัจจุบัน เป็นการรักษาแบบยับยั้งชั่วคราวเท่านั้น อย่าคิดว่าจะหายขาดด้วยวิธีนี้ เพราะมะเร็งอาจงอกใหม่ได้ทุกเมื่อ ในขณะที่แพทย์แผนปัจจุบันก็ใช้วิธีรักษา 3 อย่าง วนเวียนอยู่อย่างนี้เท่านั้น พอเอาไม่อยู่ก็เปลี่ยนชนิดของยาให้แรงขึ้นๆ โดยที่ผลก็เหมือนเดิม เพราะในแพทย์แผนปัจจุบัน ยังไม่มียาอะไรที่ควบคุมการกระจายของมะเร็งอย่างได้ผลชะงัด ทำได้แค่ไล่ตามมะเร็งเท่านั้น
หากคุณเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย คุณจะทำอย่างไร? หากหมอบอกกับคุณว่า คุณเป็นมะเร็งปอดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 7 ปี โดยอาการจัดอยู่ในระยะขั้นสุดท้าย ที่มะเร็งจากขั้วปอดได้กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง ไหปลาร้า ใต้คอ เข้ากระดูกไขสันหลัง และสมองบางส่วนแล้ว คุณจะทำอย่างไร? กรณีของคุณนวลพรรณ โอภาศเจริญสุข คือกรณีนี้ ดังที่คุณนวลพรรณได้ถ่ายทอดประสบการณ์ในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง 7 ตำแหน่งของเธอเอาไว้อย่างละเอียดในหนังสือ “นักสู้ 7 มะเร็ง” (สำนักพิมพ์บีเวลล์, พ.ศ. 2554)
ผมสนใจกรณีของคุณนวลพรรณเป็นพิเศษ ไม่เพียงเพราะเธอยังมีชีวิตอยู่หลังจากที่ต่อกรกับโรคมะเร็ง 7 ตำแหน่งมาได้ถึง 5 ปีเต็มแล้วเท่านั้น แต่การที่คุณนวลพรรณ เปิดกว้างทำการ รักษาโรคมะเร็ง 7 ตำแหน่งของเธอด้วย วิถีทางแห่งการแพทย์ผสมผสาน (integral medicine) อย่างหลากหลายและหลากมิติ น่าจะเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมล่าสุดของที่พิสูจน์ถึงประสิทธิผลของการแพทย์ผสมผสาน หรือการแพทย์แบบบูรณาการ อันเป็นบทเสนอของข้อเขียนชุดนี้ของผมได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำโดยผ่านการศึกษากรณีของคุณนวลพรรณ จะทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึง พรมแดนแห่งองค์ความรู้ของการแพทย์ทางเลือกในประเทศไทย ในขั้นตอนปัจจุบันได้ด้วย เพราะคุณนวลพรรณได้ทดลองรักษาโรคมะเร็งด้วยศาสตร์ทางเลือกพิชิตมะเร็งเกือบทุกแบบที่มีอยู่ในสังคมไทย และไม่งมงายจนเกินไปนัก (ผมจะสำรวจศาสตร์ทางเลือกพิชิตมะเร็งอันหลากหลายเหล่านี้ในภายหลัง)
คุณนวลพรรณเกิดปี พ.ศ. 2493 ปัจจุบันอายุ 61 ปี เธอเป็นมะเร็งเมื่ออายุ 49 ปี แต่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตอนอายุ 56 ปี โดยพื้นฐานแล้ว คุณนวลพรรณเป็นคนทะเยอทะยาน มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต เธอจึงเป็นคนบ้างานที่ยอมตรากตรำทำงานหนักอย่างที่สุด เพื่อแลกกับความสำเร็จในหน้าที่การงาน ปรัชญาการทำงานที่เธอได้เรียนรู้ ฝึกฝน อบรมจากบริษัทญี่ปุ่นซึ่งบ่มเพาะเธอให้กลายเป็นคนมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดในชีวิต คือ
“ถ้าคุณคิดว่าคุณจะชนะ คุณย่อมชนะ แต่ถ้าคุณคิดว่า คุณแพ้ คุณก็จะแพ้ การต่อสู้ของชีวิตใช่ว่าคนที่แข็งแรงและว่องไวจะได้เปรียบเสมอไป ไม่ช้าก็เร็ว คนที่ประสบความสำเร็จก็คือ คนที่เชื่อว่า ฉันสามารถทำได้” ผมคิดว่า ปรัชญาอันนี้แหละที่ช่วยค้ำจุนการต่อกรกับโรคมะเร็ง 7 ตำแหน่งของคุณนวลพรรณมาได้จนทุกวันนี้
ในวัยสามสิบต้นๆ จนถึงสี่สิบกลางๆ คุณนวลพรรณเป็นคนที่กระหายความสำเร็จในหน้าที่การงาน (ธุรกิจขายตรง) แม้ว่าจะต้องตรากตรำทำงานหนักแค่ไหนก็ตาม ในช่วงนั้น เธอไม่เคยรับประทานอาหารเป็นเวลา และดื่มน้ำน้อย ไม่เคยได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ แต่เธอก็ยังสนุกกับงานของเธอ เธอคิดอยู่เสมอว่า งานคือชีวิตของเธอ และเธอต้องชนะเสมอ โดยที่เธอไม่เคยตระหนักหรือรับรู้เลยว่า ภัยสุขภาพอันใหญ่หลวงค่อยๆ คืบคลานมาถึงตัวเธอแล้วอีกสิบกว่าปีหลังจากนั้น
ในที่สุด ร่างกายของคุณนวลพรรณก็ส่งเสียงประท้วงกึกก้องอยู่ภายในต่อความเพิกเฉยของตัวเธอ ที่ปล่อยปละละเลยสุขภาพของตัวเองมายาวนาน ในที่สุดในปี พ.ศ. 2549 ทุกอย่างก็ระดมกันพรั่งพรูออกมา ทุกคืนเธอจะนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย รู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงบนแขนและศีรษะ ทำให้ต้องลุกตื่นบ่อยครั้ง และมักหายใจไม่สะดวกยามดึก บริเวณนิ้วของเธอ มีสีดำและมักปวดตามข้อ
ตอนนั้นเธอยังไม่เฉลียวใจว่าเป็นมะเร็ง เธอยังคิดว่าตัวเองคงเป็นโรครูมาตอยด์ธรรมดา กว่าที่เธอจะให้แพทย์ตัดชิ้นเนื้อไปวิเคราะห์อย่างละเอียด หลังจากที่เธอมักเป็นหวัด และไอบ่อยมาก พร้อมกับมีอาการคอบวมบริเวณต่อมน้ำเหลือง และมีสีดำ เธอจึงได้รับรู้ว่า เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดขั้นเกือบสุดท้ายระยะ 3-4 คือมะเร็งได้แพร่กระจายไปสู่อวัยวะส่วนอื่นแล้ว ความหวังในการรอดชีวิตมีเหลือน้อยลงทุกที หลังจากที่ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลอื่นเพื่อให้แน่ใจผลการตรวจก็ออกมาเหมือนเดิมว่า มะเร็งได้ลามไปยังต้นคอ กระดูกสันหลัง สมอง กระดูกสะบัก กระดูกเชิงกราน กระดูกหัวเข่าและข้อเท้า แพทย์ใหญ่ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติก็ลงความเห็นว่า เธอเป็นมะเร็งปอดจากขั้วปอดกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง ไหปลาร้า ใต้คอ เข้ากระดูกไขสันหลัง และสมองบางส่วน โดยเป็นมะเร็งมาแล้วไม่ต่ำกว่า 7 ปี
สำหรับคนที่เคยชนะมาทั้งชีวิตอย่างคุณนวลพรรณ ข่าวร้ายนี้ทำให้ตัวเธอแทบล้มทั้งยืน หลายสิบปีแห่งชัยชนะในชีวิตการงานของเธอ แท้ที่จริงได้ซ่อนความพ่ายแพ้เอาไว้ภายในเสมอมา เธอบอกกับตัวเองว่า ชัยชนะใดก็ไร้ค่า ถ้าหากผู้นั้นไม่อาจเอาชนะร่างกาย และจิตใจของตนเองได้ แม้ว่าสามีและคนรอบข้างอยากให้เธอทำคีโม แต่ตัวเธอไม่อยากทำ เพราะเธอทราบดีถึงผลข้างเคียงของการรักษาด้วยการฉายแสงและเคมี เธอตัดสินใจที่จะทดลองรักษาด้วยวิธีการของแพทย์ทางเลือกดูก่อนสักสามเดือน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที
เธอสัญญากับตนเองว่า จะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งหลาย เมื่อครบกำหนดสามเดือน หากร่างกายยังไม่ดีขึ้น จึงจะยอมรับการทำคีโม นี่คือจุดเริ่มต้นในการเสาะแสวงหาวิธีการบำบัดโรคมะเร็งด้วยแพทย์ทางเลือกอันหลากหลายยิ่งของคุณนวลพรรณ
จะว่าไปแล้ว คุณนวลพรรณโชคดีมากที่เริ่มต้นจากการฝึกชี่กง (พลังลมปราณ) ก่อน โดยคุณนวลพรรณเริ่มจากการฝึกท่ายืนอรหันต์ (ยืนสมาธิแบบชี่กง) ที่อยู่ในหนังสือ “ขยับนิ้วป้องกันมะเร็ง” ของอาจารย์หยาง เผยเซิน เพียงแค่ลองหัดยืนสมาธิแบบชี่กงเพียงครั้งแรก คุณนวลพรรณก็สัมผัสได้ทันทีว่า เธอสามารถหายใจได้โล่งขึ้น เธอรู้สึกสบายตัวขึ้น นอนหลับสบายขึ้น คุณนวลพรรณดีใจมากจึงรีบติดต่อขอพบอาจารย์หยาง เผยเซิน เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ โดยเข้าเรียนสองสัปดาห์แล้วกลับมาฝึกจริงจังที่บ้าน เพียง 9 เดือนเศษที่เธอฝึกชี่กงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้อาการปวดศีรษะ และปวดหลังของเธอทุเลาลง ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนแต่ก่อน “ค่ามะเร็ง” (CED) ที่เคยวัดได้ 38 ก็ลดลงมาเหลือเพียง 6-9 ผลการเอกซเรย์ปอด และผลเลือดก็ดีขึ้น ปัจจุบันคุณนวลพรรณก็ยังฝึกชี่กงอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่คุณนวลพรรณสัมผัสได้ชัดเจนจากการฝึกชี่กงก็คือ ทุกครั้งหลังการฝึก เธอจะรู้สึกมีจิตใจเบิกบาน อารมณ์ดี บรรเทาระงับความเจ็บปวด ทำให้หายปวดศีรษะ และช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอที่เคยแข็งโตดำก็นิ่มลง ใบหน้าของเธอเริ่มมีเลือดฝาดอย่างเห็นได้ชัด
แต่คุณนวลพรรณไม่ได้หยุดแค่การฝึกชี่กงซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของ “ปราณบำบัด” เท่านั้น เธอยังดูแลตนเองในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย (โภชนบำบัด) และเรียนรู้ วิถีธรรมชาติบำบัดแบบอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งทำให้เธอยังมีชีวิตรอดมาได้จนทุกวันนี้