ปฎิวัติ 2475 ภาคสมบูรณ์ ?
โดย ชวินทร์ ลีนะบรรจง และ สุวินัย ภรณวลัย
4 ธันวาคม 2556
ปฏิวัติประชาชนที่ราชดำเนินจะเป็นภาคสมบูรณ์ของปฏิวัติ 2475ได้หรือไม่
การปฏิวัติยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2475 นั้นสามารถกล่าวโดยไม่เกินเลยได้ว่าเป็นการปฏิวัติของ “ชนชั้นนำ” หรือ elite ที่ประชาชนชาวไทยเกือบทั้งหมดมิได้มีส่วนร่วมหรือมีความเข้าใจว่าคณะราษฎร์ยึดอำนาจจากพระเจ้าแผ่นดินมาอยู่ที่ตนเองและพวกไปทำไม
ผลพวงการปฏิวัติของชนชั้นนำจึงทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ติดตามมา เป็นการแก่งแย่งอำนาจของกลุ่มบุคคลแต่เพียงลำพัง รับสั่งของ ร.7 ที่ยินดีมอบอำนาจให้ประชาชนแต่ไม่ได้มอบให้กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งจึงมิได้เกิดขึ้นตามพระประสงค์แต่อย่างใด
ต้องใช้เวลา 81 ปี การปฏิวัติของจริงที่กระทำโดยประชาชนถึงได้เกิดขึ้น
การลุกฮือของประชาชน ณ ปี พ.ศ. 2556 จึงเป็น uprising ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แม้แต่เหตุการณ์ 14 ต.ค.16 หรือประชาคมพลเมืองโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ไม่ใกล้เคียง
จากการสังเกต สอบถาม ทั้งในและนอกการชุมนุม ประชาชนที่มาเป็นประชาคมพลเมืองที่ราชดำเนินมากกว่าร้อยละ 80 เป็นผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมเช่นนี้มาก่อนไม่ได้เป็น “ขาประจำ” ดังนั้นด้วยจำนวนพลเมืองที่มาร่วมเกินกว่าล้านคนและที่ไม่ได้มาเข้าร่วมอีกมากมาย ประชาคมพลเมือง ณ ราชดำเนินในครั้งนี้จึงนำไปสู่การปฏิวัติประชาชนที่เป็นภาคสมบูรณ์ที่เริ่มขึ้นเมื่อ 81 ปีก่อน
ในมุมมองระยะยาว ทักษิณและระบอบทักษิณน่าจะเป็นเพียงตัวเร่ง ทำให้พลเมืองตื่นรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ความเป็นพลเมืองของตน ทำให้เขาและเธอเข้ามาขอคืนอำนาจจากนักการเมืองเพื่อมิให้นำอำนาจประชาชนไปฉ้อฉลเพื่อประโยชน์ส่วนตนอีกต่อไป ประชาชนไม่ต้องรอให้รัฐบาลหรือ ส.ส.หมดวาระก็ขอคืนอำนาจได้หากประพฤติไปในทางมิชอบกระทำการขัดกับผลประโยชน์กับเจ้านายของพวกเขา
สังคมไทยที่ผ่านมาโยนภาระพลเมืองแข็งข้อให้การ “แกนนำ” อยู่ตลอดเวลา ภาระของ “แกนนำ” จึงมีมากมายกลายเป็นต้นทุนเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะรับได้ แต่ในครั้งนี้พลเมืองไทยตื่นรู้และเริ่มตระหนักแล้วว่าการหลบเลี่ยงภาระเป็น “ผู้โดยสารฟรี” หรือ Free Rider ไม่อาจกระทำได้อีกต่อไป เหตุก็เพราะระบอบทักษิณเป็น Clear and Present Danger ที่มาเคาะถึงประตูในบ้านแล้ว เป็นภัยที่ต้องกำจัดออกไปโดยเร็ว
พลเมืองแข็งข้อจึงเกิดขึ้นโดยพลเมืองทั่วไปที่มิใช่จำกัดเฉพาะ “แกนนำ” แต่เพียงลำพังอีกต่อไป การปกป้อง “แกนนำ” ของพวกตนโดยสันติเพื่อรักษา “การนำ” ด้วยการเสียสละนำรถของตนมาจอดขวางกลางถนนที่กระทรวงการคลังเมื่อได้รับการร้องขอในช่วงกลางดึกโดยพลันจึงเป็นข้อเท็จจริงที่สนับสนุนว่า “แกนนำ” ในครั้งนี้ไม่สำคัญเท่ากับ “การนำ” ที่จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อสามารถหลุดพ้นจากความกลัว ในขณะที่พลเมืองมีส่วนมาช่วยร่วมรับภาระด้วยกัน งานนี้จึงเป็นกฐินสามัคคีที่ประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าภาพ
ทางเลือกของพลเมืองไทยจึงเหลืออยู่แค่ “มึงไป-กูอยู่ หรือ มึงอยู่-กูไป” ระหว่างการเป็น “เสรีชน” หรือการเป็น “ไพร่” ที่ต้องมีสังกัดมีเจ้านายอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบทักษิณ ก็แค่นั้นเอง ไม่มีทางสายกลางให้เลือกแต่อย่างใด
พวกโลกสวย ไทยเฉย ไทยอดทน หรือนักวิชาการที่มี “ปม” ทั้งหลายที่พยายามเสนอทางสายกลางให้สังคมคงอยู่ในสภาพเดิมจึงไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริงที่เป็นอยู่หรือมีอคติอยู่ในใจทำตนเป็นอีแอบ เหตุก็เพราะประเทศไทยในขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติอย่างชัดเจน
การปฏิเสธข้อเสนอสภาประชาชนของยิ่งลักษณ์โดยกอดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ตนเองและพวกบอกว่าเป็นผลไม้พิษว่าไม่เปิดช่องให้ทำ ทั้งๆ ที่พร่ำบอกว่าไม่ยึดติดตำแหน่งหรือพร้อมจะรับทุกข้อเสนอ ทำไมจึงไม่ใช้โอกาสที่สภาประชาชนเสนอทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือเป็นสภาฯ ที่ตนเองควบคุมไม่ได้?
ระบอบทักษิณกำลังจะกบฏสถาปนาตนเองให้กลายเป็น “ทรราชเสียงข้างมาก” จากการเลือกตั้งอย่างชัดเจนสมบูรณ์โดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาฯ ทำให้ตนเองเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมายและการตรวจสอบทั้งปวง ทั้งๆ ที่ความชอบธรรมของ “ที่มา” จากการเลือกตั้งไม่ได้หมายถึง “การกระทำ” ในระหว่างการดำรงอยู่จะมีความชอบธรรมไปด้วย
“ที่มา” ที่ชอบธรรมของลูกเขย เช่น คุณสมบัติที่ครบถ้วนรักลูกสาวจริงจึงไม่ได้รับประกันว่าจะมีความชอบธรรมกับ “การกระทำ” ในฐานะสามีที่ดีได้ในอนาคต มิเช่นนั้นการหย่าร้างคงจะไม่เกิดขึ้นแน่ จริงไหม?
ตัวชี้วัดสำคัญคือสังคมไทยสามารถก้าวข้ามการยุบสภาหรือลาออกของยิ่งลักษณ์อันเป็นข้อเสนอหรือทางออกที่ดูสวยเป็นไปตามระบบที่เป็นอยู่ได้หรือไม่?
ประเด็นก็คือระบอบทักษิณเป็น “ทรราชเสียงข้างมาก” เกิดมาจากระบบเลือกตั้งที่อาศัยอำนาจรัฐและอำนาจเงินสร้างความได้เปรียบให้ตนเองอยู่เหนือคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง หากยังไม่มีการปฏิวัติเพื่อปฏิรูประบบการเมืองการเลือกตั้งเพื่อปกป้องการใช้เสียงข้างมากเพื่อประโยชน์ส่วนตน คิดหรือว่าจะมีการแข่งขันกันอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมที่จะสามารถเอื้ออำนวยให้มีตัวแทนประชาชนเข้าไปใช้อำนาจประชาชน
ดูจากตัวอย่างการเลือกตั้งหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาหรือการออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ในกับทักษิณก็จะทราบความเป็นจริงเป็นที่ประจักษ์ได้ว่ามีการผูกขาดตัดตอนทางการเมืองมากเพียงใด ส.ส.สามารถเป็นตัวแทนแสดงความต้องการของพวกท่านได้มากน้อยเพียงใด
ในอีกทางหนึ่ง หากมีการตกลงระหว่างชนชั้นนำโดยปราศจากความเห็นชอบจากประชาชน วงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยที่เป็นมาโดยตลอด 81 ปีก็จะเป็นไปตามเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติประชาชนภาคสมบูรณ์ก็ยังคงเป็นความฝันที่ไม่เป็นจริงอีกต่อไป
บัดนี้การแข็งข้อของพลเมืองได้มาถึงจุดที่สามารถจะขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณได้อย่างปราศจากข้อสงสัย มีแต่ว่าจะเดินไปในแนวทางที่ไม่เบี่ยงเบนและสถาปนาอำนาจรัฐที่เป็นของประชาชนโดยแท้จริงเท่านั้นจึงจะสำเร็จได้ไม่สูญเปล่า