สมาธิภาวนาของตั๊กม้อ
หลังจากที่อำลาจากจักรพรรดิอู๋ตี้ตั๊กม้อมุ่งตรงมาที่วัดเส้าหลินที่นั่นเขานั่งขัดสมาธิเข้าหากำแพงที่ว่างเปล่าของวัดโดยตั้งจิตปณิธานเอาไว้ว่าจะไม่หันหน้าออกจากกำแพงไปมองทางอื่นจนกว่าจะได้เจอผู้ที่สมควรมาเป็นศิษย์รับการสืบทอดพุทธธรรมไปจากตัวเขาตกลงตั๊กม้อต้องนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากำแพงเป็นเวลาถึง 9 ปีเต็มกว่าที่เขาจะรับศิษย์คนที่หนึ่งซึ่งในชั่วชีวิตของตั๊กม้อเขารับศิษย์เพียงสี่คนเท่านั้น
สมาธิภาวนาของตั๊กม้อเป็นเช่นไร ?
ครั้งหนึ่งเคยมีศิษย์คนหนึ่งถามตั๊กม้อว่าคนเราถ้าหมั่นทำบุญทำทานหมั่นสวดมนต์ท่องคัมภีร์ถือศีลหมั่นทำสมาธิแล้วจะสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่แม้ว่าจะยังไม่เห็นแจ้งในธรรมชาติที่แท้จริงของตนเอง
ตั๊กม้อตอบว่าไม่ได้! เพราะหนทางในการบรรลุธรรมมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ การตระหนักรู้ ธรรมชาติที่แท้อันเป็น พุทธะ ภายในตนการปฏิบัติธรรมถือศีลทำสมาธิทำบุญทำทานสวดมนต์เหล่านี้เป็นอย่างมากได้ก็แค่การเตรียมตัวเตรียมพร้อมเพื่อ บรรลุธรรม เท่านั้น
อันที่จริงแม้แต่คำว่า การบรรลุธรรม ก็ยังเป็นคำพูดที่ทำให้สื่อความหมายผิดเมื่อเรากล่าวถึง การรู้แจ้ง หรือ การตรัสรู้ ทั้งนี้เพราะการรู้แจ้งไม่่ได้เกิดมาจากเหตุใดเหตุหนึ่งและก็ไม่ได้เป็นผลของการปฏิบัติธรรมหรือของการฝึกจิตโดยตรงการรู้แจ้งบังเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นบรรลุเงื่อนไขบางอย่างแต่เพราะคนผู้นั้นได้ค้นพบในสิ่งที่ดำรงอยู่แล้วภายในตนต่างหาก
การรู้แจ้งจึงคล้ายกับการลืมตาที่ปิดอยู่แล้วมองเห็นพุทธะภาวะของตัวเองซึ่งดำรงอยู่กอ่นแล้วมันจึงไม่อาจเรียก การเห็น นี้ว่าเป็นการบรรลุอะไรและการลืมตาเห็นก็หาใช่เป็นเหตุทำให้ตัวเองกลายเป็นพุทธะด้วยเพราะว่าไม่ว่าจะลืมตาหรือปิดตาคนเราโดยธรรมชาติดั้งเดิมก็เป็นพุทธะอยู่แล้วแต่การลืมตามองเห็นพุทธะภาวะภายในตนเองได้ทำให้คนผู้นั้นมีความเข้าใจหรือมีปัญญาญาณเกิดขึ้นต่างหาก
การมีปัญญาญาณเกิดขึ้นได้ทำให้คุณสมบัติของคนผู้นั้นเปลี่ยนไปก็จริงแต่ตัวพุทธะภาวะภายในของคนผู้นั้นมิได้มีความเปลี่ยนแปลงอันใดเลยมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ว่าขณะไหนก็ตาม
การรู้แจ้งคือการตระหนักรู้ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองมุ่งแสวงธรรมอย่างเอาเป็นเอาตายมาโดยตลอดทดลองฝึกปฏิบัติธรรมทุกรูปแบบล้วนเป็นการกระทำที่โง่เขลาแบบเส้นผมบังภูเขาทั้งสิ้นเพราะขณะที่ตัวเองกำลังมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุความเป็นพุทธะอยู่นั้นตัวเราเป็นพุทธะอยู่แล้วเป็นมาโดยตลอดอยู่แล้วแต่ยังไม่เคยและไม่ได้ตระหนักในสิ่งนี้เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้แหละตั๊กม้อจึงสอนศิษย์ของตนว่าการปฏิบัติธรรมทั้งปวงที่ศาสนาต่างๆพร่ำสอนให้ผู้คนปฏิบัติตามนั้นไม่สามารถทำให้รู้แจ้งในพุทธะภาวะได้หรอกจะเห็นได้ว่าคำสอนเช่นนี้ของตั๊กม้อเป็นคำสอนที่ท้าทายมากดุจบันลือสีหนาทเลยทีเดียวคุรุหรือผู้นำทางจิตวิญญาณที่กล้า ฟันธง ถึงขนาดนี้นั้นในช่วงหนึ่งพันห้าร้อยปีมานี้นอกจากตั๊กม้อแล้วก็ยังไม่เห็นใครอื่นอีกเลย
เพราะการที่จะกล้าบันลือสีหนาทอย่างปรมาจารย์ตั๊กม้อว่า
พุทธะไม่ฝึกอะไรที่ไร้ประโยชน์
คำพูดเช่นนี้มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะกล้าพูดได้มีแต่มหาบุรุษอย่างตั๊กม้อเท่านั้นถึงสามารถเปล่งคำประกาศนี้ออกมาได้อย่างมีพลังยิ่ง
การไม่เห็นแจ้งในธรรมชาติที่แท้แห่งตนแล้วพูดพล่าม
เรื่องธรรมะเรื่องกฎแห่งกรรมจึงเป็นสิ่งไร้สาระ
คำพูดประโยคนี้ของปรมาจารย์ตั๊กม้อมิทราบเป็นการตบหน้า ชาวพุทธ รุ่นหลังไปกี่มากน้อยแล้วในท่ามกลางสังคมที่ไร้สาระยิ่งขึ้นเรื่อยๆอย่างสังคมในปัจจุบันนี้แม้แต่การพูดพล่ามเรื่องธรรมะก็ยังเป็นการเพิ่มความไร้สาระให้กับสังคมนี้ถ้าหากคนที่พูดไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรงในการตระหนักถึงธรรมชาติที่แท้จริงของตนเองมาก่อนเลย
พุทธะไม่ยึดติดในกรรมและผลของกรรม
การพูดว่าพุทธะได้บรรลุอะไรบางอย่าง
ถือเป็นการดูแคลนพุทธะโดยแท้
นี่คือคำสอนของเซนที่ปฏิวัติโดยแท้จริงในสายตาของผู้ที่แสวงธรรมอย่างเอาเป็นเอาตายในการฝึกจิตเพื่อ การบรรลุธรรม เพราะตั๊กม้อกลับสอนว่าพุทธะไม่ใช่การบรรลุอะไรแต่เป็นการตระหนักรู้หรือตื่นรู้ในธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเราเองด้วยความรู้สึกที่บริสุทธิ์ล้วนๆปราศจากการปรุงแต่งของจิตหรือความคิดการตระหนักรู้เช่นนี้เข้าถึงได้หรือมีประสบการณ์ได้โดยการทำให้กายรวมกับใจ
จิตวิญญาณที่รวมกับกายเป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากอารมณ์ปราศจากความรู้สึกนึกคิดปราศจากความปรุงแต่งทั้งปวงนำมาซึ่งญาณความรู้และพลังการฝึกกายให้รวมกับใจของเซนจึงไม่จำเป็นจะต้องรอเวลาช่วงทำสมาธินั่งหลับตาเท่านั้นแต่สามารถฝึกได้ทุกเวลาทุกอิริยาบถ
การรวมกายกับใจแบบเซนจะต้องกระทำด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดจะผ่อนคลายเช่นนี้ได้จะต้องฝึกการหายใจหรือฝึกลมปราณจนกระทั่งลมปราณนั้นสามารถซึมซับซึมสิงเข้ามาในทุกขุมขนของผู้นั้นจนกระทั่งเข้าไปถึงไขกระดูก (ต่อมาหลักการนี้ได้กลายเป็นวิชาลมปราณล้างไขกระดูกของวัดเส้าหลินที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากปรมาจารย์ตั๊กม้อ)
กระแสของปราณที่หล่อหลอมออกมาจากลมหายใจอีกทีหนึ่งนี้มักจะโลดแล่นไปทั่วทุกอณูของร่างกายโดยรู้สึกสัมผัสได้ว่ามันอยู่ในกึ่งกลางของโครงสร้างร่างกายภายในโพรงกระดูกอันเป็นแหล่งกำเนิดของปราณภายในเมื่อใดที่ปราณภายในรวมเข้ากับวิญญาณและสติเมื่อนั้นจะเกิดพลังจิตวิญญาณในตัวผู้นั้น
สมาธิของเซนคือสภาวะจิตที่ไม่แตกแยกแต่รวมเป็นหนึ่งกับกายขณะที่จิตรวมกับกายมันจะเป็นพลังอำนาจอยู่ในตัวเองอยู่แล้วจึงต้องไม่ปรากฏสิ่งใดๆเลยตั๊กม้อสอนว่าหากกำลังทำสมาธิแล้วเผอิญไปเจอพระพุทธเจ้าในสมาธิก็ต้องฆ่าพระพุทธเจ้าเพราะจิตที่ไปวิ่งตามพระพุทธเจ้าในสมาธิเป็นจิตที่เลื่อนลอยออกไปนอกกายไม่ใส่ใจต่อตัวเองไม่มีที่จบสิ้นไม่มียุติมันจึงไม่ใช่สมาธิของพุทธะ
เมื่อใดก็ตามที่คนเราสามารถหลอมรวมกายกับจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อนั้นทุกสรรพสิ่งสรรพชีวิตสรรพวัตถุก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคนผู้นั้นไม่มีแม้แต่กาลเวลาคงไว้แต่อารมณ์สมาธิแบบเซนเท่านั้นแค่ปล่อยใจไปตามอำนาจของธรรมชาติไม่มีอดีตไม่มีอนาคตให้ปรากฏแต่ธรรมชาติอันเป็นปัจจุบันเท่านั้นเช่นเสียงลมพัดใบไม้กลิ่นอายของพื้นดินเมฆเคลื่อนน้ำคล้อยให้มันเป็นธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติจริงๆโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นใดแค่รู้มันสัมผัสมันลึกซึ้งมันเข้าใจมันแต่ไม่ต้องปรุงมันเติมแต่งแต้มสีมันทำได้โดยเพ่งความรู้สึกทั้งหมดลงไปภายในตัวเองและสิ่งที่ตนเองกำลังกระทำหากทำได้อย่างสม่ำเสมอคนผู้นั้นจะอยู่ในภาวะที่ตั๊กม้อเรียกว่า ไร้ใจ