สภาวะไร้ใจ
หัวใจคำสอนของเซนคือสภาวะไร้ใจนี่เองตั๊กม้อเคยสอนศิษย์ว่า
สภาวะไร้ใจมันดำรงอยู่เสมอแล้ว
แต่เจ้า (ศิษย์) มองไม่เห็นเองต่างหาก
เจ้าเคยฝันใช่มั๊ยความฝันที่เจ้าเห็นนั้น
มันไม่ใช่ตัวเจ้าจริงๆหรอกสิ่งที่เจ้าทำเจ้าพูดก็เช่นกัน
เพราะตัวเจ้าจริงๆคือผู้ที่เฝ้าดูเฉยๆ
อยู่เบื้องหลังการกระทำคำพูดและความฝันนั้น
สภาวะไร้ใจไม่ใช่วัตถุมันจึงไม่อาจเป็น เป้า ของการฝึกจิตได้เหมือนการฝึกกสิณและอาจกล่าวได้ว่าเป็นคนละเรื่องเลยทีเดียวสภาวะไร้ใจเป็นที่ว่างอันพิสุทธิ์เป็นความสงบงันอย่างที่สุดและเป็นความไม่มีอะไรในความตระหนักรู้อันบริสุทธิ์
อุปมาดั่งดวงตาที่สามารถแลเห็นได้ทุกอย่างยกเว้นดวงตาของตัวเองคนเราจึงไม่อาจเป็นความฝันได้เพราะความฝันปรากฏให้เราเห็นตรงหน้า
เราเป็นผู้ดูความฝันนั้นมิใช่ตัวความฝันนั้น
สภาวะไร้ใจจึงเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ลิ้มลองได้อยู่ในภาวะนั้นได้กล่าวถึงได้แต่ไม่อาจแลเห็นได้เพราะตัวเราที่แท้จริงคือสภาวะไร้ใจนั้น
คนเรามีชีวิตอยู่กับใจอยู่ด้วยใจทุกข์ด้วยใจและก็สุขด้วยใจมาโดยตลอดเพราะฉะนั้นจึงยากยิ่งที่คนเราจะรู้จักตัวเองและแลเห็นซึ้งถึงความจริงที่ว่า ใจคือวัฏสงสาร ใจคือสามโลก
วิถีพุทธหรือวิถีเซนคือวิถีที่มุ่งปลดปล่อยจิตของตัวเองให้ใหญ่ยิ่งเทียบเท่าใจของฟ้าคือใหญ่เสียจนเป็นความว่างของจิตพุทธะจึงต้องเป็นผู้ที่ใจกว้างเสมอคนที่ใจแคบย่อมมิอาจเข้าถึงความเป็นพุทธะได้เลยวิถีเซนที่แท้ย่อมเป็นวิถีที่ก้าวข้ามหรือข้ามพ้นความเป็นคู่หรือทวิคติเสมอเพราะความเป็นคู่อย่างดี-เลวบุญ-บาปนรก-สวรรค์เป็นต้นเป็นวิธีทำงานของใจและเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นของการตั้งอยู่ของโลกและชีวิตอันเป็นมายานี้ใจจึงไม่มีวันก้าวข้ามความเป็นคู่ได้ใจจึงเป็นอวิชชาและเป็นที่มาของภพชาติกับบ่อเกิดของทุกข์ทั้งปวง
การก้าวข้ามความเป็นคู่คือการอยู่เหนือโลกด้วยภาวะที่ไร้ใจได้
ภาวะไร้ใจคือการเข้าถึงความว่างอันเป็นธรรมชาติที่แท้ของสรรพสิ่ง
ภาวะไร้ใจคือการตระหนักรู้อันบริสุทธิ์
ภาวะไร้ใจคือท้องฟ้าที่ไร้เมฆ
หากเปรียบเทียบคำสอนของตั๊กม้อกับคำสอนในพระไตรปิฎกแล้วอาจกล่าวได้ว่าคำสอนของตั๊กม้อเป็น พุทธธรรม ล้วนๆไม่มีสิ่งเจือปนอื่นๆอย่างในพระไตรปิฎกเลยถ้าคนอ่านอ่านอย่างผิวเผินอ่านด้วยใจหยาบอ่านด้วยสมองอ่านด้วยตรรกะเหตุผลแล้วก็อาจทำใจรับคำสอนของตั๊กม้อไม่ได้และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตั๊กม้อรับศิษย์แค่สี่คนทั้งๆที่ขณะนั้นมีพระสงฆ์อยู่ถึงสองล้านรูปในจีนแล้วเพราะตั๊กม้อสอนในสิ่งที่ดูเผินๆแล้วเหมือนกับบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์อย่างเช่นเขาสอนว่า
พุทธะไม่รักษาศีลไม่ทำบุญไม่ทำบาปไม่วิริยะ
ไม่เกียจคร้านไม่เจริญสติไม่ทำอะไรทั้งสิ้นไม่แม้แต่
จะเป็นพุทธะไม่คิดถึงแม้แต่คำว่าพุทธะ
เพราะตั๊กม้อตระหนักรู้แจ่มแจ้งในตนเป็นอย่างดีว่าพุทธะเป็นเรื่องของ สภาวะการดำรงอยู่ หรือ การเป็น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรรมหรือการกระทำใดๆ ทั้งสิ้นเพราะมีแต่การตระหนักรู้ที่บริสุทธิ์ในทุกๆการกระทำทั้งปวงจึงไม่แปดเปื้อนด้วยการกระทำใดๆและไม่ถูกยึดติดด้วยการกระทำใดๆ
คำสอนเช่นนี้ของตั๊กม้อจึงเป็นคำสอนที่สูงส่งยิ่งสูงกว่าคำสอนใดๆของพระสงฆ์ที่เคยมาเผยแพร่พุทธศาสนาในจีนและจนสมัยนี้ก็ยากที่เจอคำสอนที่สูงส่งและลึกล้ำกว่านี้แล้วคำสอนเช่นนี้ของตั๊กม้อจึงเป็นคำสอนของยอดคนสำหรับยอดคนเพื่อยอดคนซึ่งเป็นคนส่วนน้อยนิดและหาผู้สืบทอดได้ยากเหลือเกินไม่ว่าในยุคไหน
การที่ตั๊กม้อบอกว่า พุทธะไม่รักษาศีล ก็เพราะพุทธะไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามศีลหรือพระวินัยใดๆเลยเนื่องจากพุทธะเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความตระหนักรู้อย่างที่สุดอยู่แล้วและตอบสนองต่อทุกสิ่งที่เผชิญจากความตระหนักรู้นี้หาใช่จากศีลหรือจากบัญญัติพระวินัยใดๆไม่
ทุกขณะจิตที่เปลี่ยนไปพุทธะ พิจารณาดู อย่างสงบในแต่ละขณะจิตนั้นและให้สภาวะการดำรงอยู่แห่งพุทธะของตนตอบสนองออกไปอย่างเป็นไปเองดุจกระจกเงาที่ใสกระจ่างไม่มีความคร่ำครึแห่งพระวินัยใดๆปรากฏให้เห็นในตัวพุทธะแม้แต่น้อยพุทธะจึงไม่ติดบุญไม่ติดบาปพุทธะจึงไม่ต้องย้ำถึงเรื่องวิริยะเรื่องความเกียจคร้านและไม่ต้องระวังในการเสื่อมจากความเป็นพุทธะของตัวเองไม่ต้องประคอง ฌาน ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเพื่อรักษาความเป็นพุทธะของตนเองไว้
เพราะตราบใดที่มี ความตระหนักรู้ อย่างยิ่งดำรงอยู่ในทุกขณะจิตอยู่แล้วไม่มีสิ่งใดเลยที่จะทำลายความเป็นพุทธะของพุทธะคนนั้นได้
คำสอนของตั๊กม้อล้ำลึกยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเขาสอนว่า
พุทธะคือผู้ที่ไม่เป็นแม้แต่พุทธะ
เด็กน้อยที่ไร้เดียงสาย่อมไม่ตระหนักในความไร้เดียงสาของตนเพราะถ้าตระหนักเด็กน้อยคนนั้นย่อมไม่ไร้เดียงสาอีกต่อไปฉันใดก็ฉันนั้นหากพุทธะยังตระหนักในความเป็นพุทธะของตนความตระหนักรู้อันนั้นก็ยังไม่ใช่ความตระหนักรู้ที่บริสุทธิ์จริงเพราะฉะนั้นพุทธะจึงต้องไม่เป็นพุทธะและไม่คิดแม้แต่เรื่องการเป็นพุทธะของตนด้วย
การคิดถึงพุทธะมันจะได้อะไรสำหรับผู้ที่เป็นพุทธะอยู่แล้ว?