14. บุรุษผู้ท้าทายชะตากรรม

14. บุรุษผู้ท้าทายชะตากรรม





บุรุษผู้ท้าทายชะตากรรม
      


ชายชาวญี่ปุ่นผู้นั้นยังคงกล่าวกับสันติชาติต่อไปว่า


“เธอรู้มั้ยพ่อหนุ่มตั้งแต่วันนั้นที่เราได้พบเธอเป็นต้นมาทุกๆปีของวันนี้เราจะต้องมาที่นี่เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น


เราสังหรณ์ใจอยู่เสมอว่าเราคงจะต้องได้พบกับเธออีกที่นี่ในวันนี้ของปีใดปีหนึ่งและในที่สุดเราก็ได้พบกับเธอจริงๆมามานั่งคุยกันเราจะถ่ายทอดสิ่งที่เราฝึกฝนและค้นคว้ามาเกือบตลอดชีวิตให้กับตัวเธอแค่ดูสายตาของเธอเราก็มองออกแล้วว่าบัดนี้ฐานจิตของเธอลึกและหยั่งแน่นแข็งแรงจนพอที่จะซึมซับสิ่งที่เราจะถ่ายทอดให้แก่เธอต่อไปนี้ได้แล้ว”


“...”


“ก่อนอื่นเราจะเล่าเรื่องชีวิตของชายคนหนึ่งให้เธอฟังก่อนนะ”


“มีชายผู้หนึ่งเขาเกิดในปีค.ศ.1932 ตั้งแต่เกิดเขามิได้มีร่างกายแข็งแรงแต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าอ่อนแอพ่อของเขาเป็นนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านปรัชญาฮินดูและธิเบตแต่ถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไทยจากนั้นก็หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตในสงครามไปแล้ว


เขากับแม่จึงต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตกันตามยถากรรมเมื่อเขาเรียนจบมัธยมต้นก็พอดีเป็นช่วงเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นพ่ายแพ้ยับเยินความเป็นอยู่ยากแค้นแสนเข็ญเขาจำต้องเลิกเรียนออกมาทำงานช่วยมารดาเลี้ยงชีพแต่เขาทำงานในโรงงานถลุงเหล็กได้เพียง 2 ปีกว่าก็ล้มเจ็บด้วยโรควัณโรคต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล


หมอที่รักษาเขาได้บอกกับมารดาว่าเขาคงมีชีวิตอยู่อีกอย่างมากไม่เกิน 2-3 ปีเขาเองก็รู้ตัวว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานจึงพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่ด้วยความกลัวที่จะตายตั้งแต่วัยหนุ่มเขาตะลุยอ่านหนังสือศาสนาปรัชญาตำราโหรเพื่อแสวงหาทางออกให้กับตนเองซึ่งกำลังอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง


เขาอยากจะรู้ว่าชีวิตมนุษย์มีโชคชะตาหรือชะตากรรมที่ถูกกำหนดล่วงหน้าตั้งแต่เกิดแล้วจริงหรือไม่และชีวิตของมนุษย์ทั้งชีวิตจะถูกลิขิตตั้งแต่เกิดจนตายจริงหรือ?


ในตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าชีวิตมนุษย์จะถูกลิขิตมาตั้งแต่เกิดแล้วแต่ภายหลังจากที่เขาได้ทดลองใช้วิชาโหรที่เขาศึกษาด้วยตนเองจากตำราหลายร้อยเล่มที่เขาตะลุยอ่านมาทำนายโชคชะตาของตัวเองและของผู้คนที่กลายมาเป็นเครื่องทดลองวิชาโหรของเขาที่มีจำนวนนับพันคนเขาก็จำต้องยอมรับกับตัวเองว่า “ชะตาของมนุษย์ส่วนใหญ่ได้ถูกลิขิตมาตั้งแต่เกิดแล้ว


เขาได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่ถึงรู้ล่วงหน้าแล้วก็ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้จริงหรือ? มีความเป็นไปได้ไหมที่จะศึกษาวิชาโหรชั้นสูงเพื่อรู้ชะตาชีวิตของตัวเองล่วงหน้าแล้วหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายเพื่อที่จะได้ประสบแต่โชคดีตลอดชีวิตนี้?”


ถ้าเป็นไปได้ความสามารถในการหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่เป็นเคราะห์ร้ายน่าจะเป็นความสามารถที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการเสียยิ่งกว่าการได้รู้ชะตาชีวิตล่วงหน้าแต่หลีกเลี่ยงมันไม่ได้ไม่ใช่หรือ?


นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาชีวิตที่เหลือของเขาจึงอุทิศให้กับการแสวงหาความสามารถในการหลุดพ้นจากบ่วงของเคราะห์กรรมเขาตะลุยอ่านตำราโยคะและทำการฝึกวิชาโยคะอย่างจริงจังเป็นเวลาถึง 1 ปีเต็มในที่สุดเขาก็หายจากวัณโรคได้อย่างสิ้นเชิงเขาภูมิใจมากกับความสำเร็จในความสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง
 


แต่แล้วเขาก็เริ่มตั้งข้อสงสัยให้กับตัวเองอีกว่าเพราะเหตุใดผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้จึงไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเอง? หรือว่าสิ่งนี้เป็นชะตาชีวิตที่ได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วของพวกเขาเหล่านั้นถ้าเป็นเช่นนั้นจริงคนจำนวนน้อยที่สามารถแปรเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองได้ก็น่าจะเป็นคนที่ถูกลิขิตล่วงหน้าแล้วให้มีความสามารถเช่นนั้นมิใช่หรือซึ่งนั่นก็หมายความว่าชะตาชีวิตก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้วอยู่ดีนั่นเอง


จากการดูดวงชะตาชีวิตของตนเองอย่างละเอียดซ้ำอีกครั้งเขาได้พบว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะต้องเป็นโรคมะเร็งเมื่ออายุ 50 ปีหรือในปีค.ศ.1982 ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงที่เขารอดตายจากวัณโรคได้ก็เพราะเขายังไม่ถึงที่ตายต่างหากหรือชีวิตของเขาจะจบสิ้นลงแค่นี้จริงๆถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตของเขาเกิดมาเพื่อมีความหมายอะไรกันแน่


หรือว่ามนุษย์จะไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาได้จริงเขานึกถึงวรรณกรรมกรีกโบราณที่พรรณนาถึงโศกนาฏกรรมของชะตาชีวิตของมนุษย์ที่ต่อสู้กับชะตากรรมอันโหดร้ายแล้วก็พ่ายแพ้อย่างน่าอเนจอนาถใช่หรือไม่ว่าเหล่านักปราชญ์ตั้งแต่ยุคโบราณก็หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับปัญหานี้มาโดยตลอดจนก่อเกิดเป็นอารยธรรมทั้งของตะวันตกและตะวันออก


เขาจึงตัดสินใจที่จะย้อนกลับไปศึกษาต้นธารแห่งอารยธรรมตะวันออกซึ่งเป็นรากเหง้าทางจิตวิญญาณของชาวเอเชียอย่างเขาเพื่อหา “คำตอบให้กับตนเองให้ได้ถูกแล้วเขาตั้งใจที่จะท้าทายชะตาชีวิตของตัวเองจะลองเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเองให้ได้


ต่อให้พ่ายแพ้มันก็จะเป็นความพ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรีอย่าน้อยก็ดีกว่าการไปท้าทายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองอำนาจหรือชื่อเสียงแล้วล้มเหลวมากมายนัก


เขาคิดต่อไปว่าบทเรียนชีวิตที่จะได้มาจากการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนคนเดียวเช่นตัวเขานี้ก็น่าที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของมนุษย์คนอื่นได้เช่นกันหรือแม้กระทั่งนำมาใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมนุษยชาติโดยรวมก็ย่อมทำได้และการเปลี่ยนชะตากรรมของมนุษย์ชาติโดยรวมย่อมหมายถึงการเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกทั้งหมดด้วยนั่นเอง


และวิธีที่จะใช้ในการเปลี่ยนชะตาชีวิตของมนุษย์ได้นั้นจักพบในที่อื่นไม่ได้นอกจากใน “ศาสนาเท่านั้นหลังจากนั้นเขาจึงทุ่มเทพลังงานเกือบทั้งหมดของเขาให้กับการศึกษาค้นคว้าและทดลองปฏิบัติ “ศาสนาตะวันออกสายต่างๆไม่ว่าสายเต๋าของจีนสายโยคะของอินเดียและสายพุทธทั้งของจีนญี่ปุ่นอินเดียลังกาและของธิเบต


ในบรรดาหลักวิชาทั้งหมดที่เขาได้ค้นคว้าทดลองปฏิบัติมานั้นเขาได้ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษกับหลักวิชาของสาย “รหัสนัย” (นิกายเร้นลับหรือวัชรยาน) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงมันสมองของมนุษย์ในเชิงซอฟต์แวร์ให้มีความฉลาดล้ำเลิศยิ่งกว่าเดิมได้


 
* จุดเด่นของพุทธศาสนาแนวทาง “รหัสนัยที่แตกต่างกับพุทธศาสนานิกายอื่น


(1) มุ่งบรรลุความรู้แจ้งหรือความเป็นพุทธะในชีวิตนี้ให้ได้ (Attaining Enlightemnemt in This Very Existence)


(2) ด้วยการผนึกตัวเอง (จุลจักรวาล) ให้แนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งสูงสุด (มหาจักรวาล) คือ “มหาไวโรจนะตถาคตซึ่งเป็น “ธรรมกายของพระพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธัตถะ)


(3) มุ่งบรรลุโดยฉับพลัน (Sudden Approach) ซึ่งต่างกับแนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไป (Gradual Aporoach) ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่ชาติอีกกี่กัลป์ถึงจะบรรลุกล่าวในความหมายนี้ “รหัสนัยจึงเหมือนกับ “เซนแต่ต่างกันตรงที่ว่าเซนเน้นวิปัสสนาและไม่ได้อภิญญาแต่ “รหัสนัยแบบเซนหรือ “วัชรเซนจะได้อภิญญาด้วย


 
หลักวิชาอันนี้ท่านปรมาจารย์คูไค” (..774-835) ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธสายรหัสนัยในญี่ปุ่นได้ฝึกฝนด้วยตนเองจนบรรลุสำเร็จกลายเป็นอริยสงฆ์ผู้มีอัจฉริยภาพที่ยากจะพบพานในรอบ 1,000 ปีของญี่ปุ่นได้ท่านปรมาจารย์คูไค (คูแปลว่าท้องฟ้าไคแปลว่าทะเล) ได้เริ่มฝึกฝนหลักวิชาของสายรหัสนัยอันนี้ในวัยหนุ่มตั้งแต่อายุ 24 ปีในตอนนั้นท่านมีความเห็นว่า

“ศาสนาพุทธเป็นวิชาที่มีความลึกซึ้งและเข้าใจยากเหลือเกินคัมภีร์พระไตรปิฎกของศาสนาพุทธก็มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเกินกว่าที่มันสมองของปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้แตกฉานรู้แจ้งแทงตลอดแต่โชคดีที่ในนิกายรหัสนัยมีหลักวิชาที่ทำให้คนฉลาดปราดเปรื่องได้เพราะฉะนั้นเราจะต้องศึกษาฝึกฝนหลักวิชาอันนี้ทำการปรับปรุงมันสมองของตนเองเสียก่อนที่จะไปศึกษาหลักธรรมของศาสนาพุทธ”


ไม่เป็นที่ต้องสงสัยว่าท่านปรมาจารย์คูไคได้ฝึกฝนหลักวิชาอันนี้จนกลายเป็นอัจฉริยะที่มีปัญญาญาณในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นตลอดช่วง 1,000 กว่าปีมานี้


เรื่องราวเกี่ยวกับหลักวิชาที่ท่านปรมาจารย์คูไคได้ฝึกฝนในวัยหนุ่มมีเขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจนในงานเขียนของท่านเป็นหลักฐานยืนยันมาจนถึงปัจจุบันนี้


หลักวิชาที่ท่านคูไคได้ฝึกฝนมาก่อนที่จะศึกษาธรรมะนี้สรุปสั้นๆก็คือหลักวิชาที่ “บอก 1 ก็รู้ถึง 10” นั่นเอง


........................
 


เขามีความเห็นว่าหลักวิชาอันนี้จะเป็นอาวุธสำคัญที่สุดที่เขาจะใช้ในการศึกษาธรรมะเพื่อหาเคล็ดลับคำตอบในการเอาชนะชะตากรรมของตัวเองที่จะเผชิญในอนาคต


ไม่แต่เท่านั้นถ้าหากเขาฝึกหลักวิชาอันนี้ได้ก็เท่ากับว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตนเองได้อีกขั้นหนึ่งจากคนผู้มีมันสมองธรรมดากลายมาเป็นคนที่มีมันสมองเฉียบแหลมแล้วไม่ใช่หรือ?


เขารวบรวมเอกสารต่างๆที่บันทึกเกี่ยวกับหลักวิชาอันนี้มาศึกษารวมทั้งไปขอเรียนหลักวิชาอันนี้จากพระสงฆ์ผู้หนึ่งผู้เคยฝึกหลักวิชานี้ในตอนหนุ่มแต่ไม่ประสบผลสำเร็จเขาได้ทดลองฝึกตามวิธีการที่ได้รับคำชี้แนะจากพระสงฆ์รูปนั้นแต่ก็ยังรู้สึกว่าได้ผลไม่ถึงระดับขั้นที่น่าพอใจ


ยิ่งเขาย้อนกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ที่บันทึกเกี่ยวกับจำนวนบุคคลที่สำเร็จหลักวิชาอันนี้ในญี่ปุ่นในรอบ 1,000 กว่าปีที่ผ่านมาเขาก็ได้พบข้อเท็จจริงที่น่าตกใจว่าในรอบ 1,000 ปีมานี้นอกจากท่านปรมาจารย์คูไคแล้วมีคนที่บรรลุสำเร็จหลักวิชานี้อีกเพียง 2 คนเท่านั้นและส่วนใหญ่เสียชีวิตในวัยกลางคนทั้งสิ้นในขณะที่มีผู้ล้มเหลวในการฝึกวิชานี้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว


 
เขารู้สึกสิ้นหวังและผิดหวังอย่างรุนแรงที่สูญเสียพลังงานและเวลาไปถึง 15 ปีเต็มโดยไม่ได้มรรคผลเป็นชิ้นเป็นอันเขาได้สรุปกับตัวเองว่าหลักวิชาของนิกายรหัสนัยอันนี้ถึงอาจจะมีจริงแต่ที่ตกทอดและถ่ายทอดมาในญี่ปุ่นปัจจุบันนั้นไม่สมบูรณ์และผิดแนวทาง


ในท่ามกลางความท้อแท้จนเขาเกือบจะคิดสั้นหลายหนเขาได้นิมิตฝันเห็นบิดาของเขาที่หายสาบสูญไปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 บิดาของเขาได้มาเข้าฝันบอกกับเขาว่าก่อนที่สงครามจะสิ้นสุดท่านรู้สึกหมดหวังกับประเทศญี่ปุ่นที่กระหายสงครามรุกรานฆ่าฟันประเทศเพื่อนบ้านจนล้มตายมากมาย


ท่านจึงตัดสินใจหนีทหารไม่ยอมกลับประเทศญี่ปุ่นเปลี่ยนเพศเป็นโยคีสมณะออกธุดงค์ไปยังพม่าจนทะลุไปถึงเทือกเขาหิมาลัยเข้าสู่ประเทศธิเบตท่านได้พบกับพระภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาสของสำนักสงฆ์ที่เร้นลับแห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัยและได้ศึกษาหลักวิชารหัสนัยขนานแท้จากท่านจนประสบมรรคผลจึงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น “คูทัทสุ (ผู้บรรลุความว่าง)


บัดนี้แม้ตัวเองจะเลิกยุ่งเกี่ยวทางโลกแล้วแต่ด้วยความผูกพันฉันพ่อลูกในอดีตจึงได้มาเข้าฝันชี้ทางสว่างให้โดยบอกกับเขาว่าถ้าอยากจะได้หลักวิชารหัสนัยของวัชรยานขนานแท้จริงๆขอให้ดั้นด้นมาหาตนที่ประเทศธิเบตตนจะถ่ายทอดให้
 


แม้จะเป็นความฝันแต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นความฝันที่เหมือนกับเรื่องจริงมากในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินทางไปเสาะหาท่านคูทัทสุที่ประเทศธิเบตโดยมีความทรงจำในความฝันเป็นเครื่องชี้ทางและเขาก็ได้พบสำนักสงฆ์ที่เร้นลับแห่งนั้นซึ่งมีสภาพตรงกับความฝันที่เขาเห็นทุกประการและยังได้พบท่านคูทัทสุซึ่งบัดนี้เป็นรองเจ้าอาวาสของสำนักสงฆ์แห่งนี้โดยมีท่านอาจารย์ “สิทธะเป็นทั้งเจ้าอาวาสและอาจารย์ของท่านคุทัทสุอีกทีหนึ่ง


ท่าน “คูทัทสุได้ไขเฉลยข้อบกพร่องและจุดอ่อนของหลักวิชารหัสนัยที่ถ่ายทอดกันมาในญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบันแก่เขาว่า


“หลักวิชารหัสนัยที่ถ่ายทอดกันอยู่ในญี่ปุ่นขณะนี้นั้นมีแต่วิธีเพ่งกสิณที่เรียกกันว่า “อินชินคันโซเท่านั้นแต่ไม่มีอุบายหรือเทคนิควิธีที่เป็นเคล็ดลับที่จะไปกระตุ้นมันสมองซึ่งเป็นอวัยวะภายในโดยตรงแต่อย่างใดเพราะฉะนั้นจึงยากที่จะประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับท่านปรมาจารย์คูไคในอดีต


“เธอจำได้ใช่มั้ยว่าหลักวิชาที่ถ่ายทอดกันอยู่ในญี่ปุ่นนั้นได้เขียนเอาไว้ว่าจงไปหาอาคารที่สงัดในการฝึกฝนโดยเจาะหน้าต่างด้านทิศตะวันออกให้แสงจากดาวพระศุกร์ส่องเข้ามาได้ในยามราตรีจงเพ่งดาวศุกร์ตลอดทั้งคืนในขณะที่ท่องมนตราเป็นจำนวน 10,000 ครั้งภายในเวลา 100 วัน


ถ้าหากประสบความสำเร็จผู้ฝึกฝนก็จะมีประสบการณ์โดยตรงเฉกเช่นเดียวกับที่ท่านคูไคได้เคยเขียนเอาไว้นั่นคือในวันสุดท้ายของวันที่ 100 ดาวศุกร์จะเข้ามาปรากฏให้เห็นในตัวเธอ       


แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้ปฏิบัติธรรมในญี่ปุ่นในอดีตส่วนใหญ่ต่างเถรตรงเกินไปที่ไปตีความตามตัวอักษรของท่านคูไคซึ่งเขียนเป็นเชิงปริศนาเซนหรือ “โคอานให้คนรุ่นหลังต้องตีความเพื่อบรรลุมรรคผลด้วยตนเองว่าดาวศุกร์ (เมียวโญ) ที่จะเข้ามาปรากฏให้เห็นในตัวเธอคือดาวพระศุกร์ในระบบสุริยจักรวาลจริงๆ


แต่เราขอบอกกับเธอว่าถ้าหากเธอได้ศึกษาคัมภีร์โยคสูตรและปฏิบัติตามหลักวิชารหัสนัยที่เราจะถ่ายทอดให้เธอต่อไปนี้แล้วเธอก็จะมีประสบการณ์ด้วยตัวเธอเองได้ว่าดาวศุกร์ที่จะเข้ามาปรากฏให้เห็นในตัวเธอนั้นมิใช่ดาวพระศุกร์ในระบบสุริยจักรวาลจริงๆแต่เป็นประกายแสงที่วูบวาบขึ้นมาภายในมันสมองของผู้ฝึกตรงต่อมไพนีลต่างหาก!”


“...!?...”


“สรุปสั้นๆก็คือถ้าใช้เทคนิควิธีที่เป็นเคล็ดลับของหลักวิชารหัสนัยไปกระตุ้นที่ต่อมไพนีลหรือจักรที่ 7 หรือจักรมงกุฎในมันสมองใหญ่ผู้ฝึกจะรู้สึกเหมือนกับว่าแลเห็นประกายแสงเกิดขึ้นในดวงตา


เพราะฉะนั้นเทคนิควิธีที่เป็นเคล็ดลับในการกระตุ้นต่อมไพนีลในมันสมองมนุษย์นี้แหละคือหลักวิชาที่ใช้ในการปรับปรุงมันสมองมนุษย์ให้ฉลาดปราดเปรื่องขึ้นมาได้ไม่ใช่การเพ่งดูดาวพระศุกร์หรือการเพ่งกสิณหรือการนั่งสมาธิธรรมดาๆเฉยๆ!”


หลังจากนั้นท่านคูทัทสุก็ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาของสายรหัสนัยอันนี้ให้กับเขาเขาอยู่ที่ธิเบตฝึกฝนหลักวิชาอันนี้กับท่านสิทธะและท่านคูทัทสุเป็นเวลา 2 ปีเต็มก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นขณะนั้นเป็นปีค.ศ.1974 และเขามีอายุได้ 42 ปีแล้ว


ตั้งแต่เขากลับจากประเทศธิเบตบุคลิกภาพของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกลายเป็นคนที่ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าจะทำอะไรแล้วต่อให้มีอุปสรรคขัดขวางเพียงใดก็ไม่ทำให้เขาท้อแท้หรือย่อท้อมีความอดกลั้นสูงขึ้นและที่สำคัญมีความสามารถในการเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้อย่างรวดเร็วและลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เขารู้เคล็ดลับแห่งการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองแล้วว่าอยู่ที่การเปลี่ยนนิสัยด้วยการสร้างนิสัยที่ดีและยินยอมเป็นทาสของมันเพราะนิสัยสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตได้หรือจะกล่าวให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็คือนิสัยของคนคนหนึ่งกับชะตาชีวิตของคนคนหนึ่งนั้นที่แท้ก็คือสิ่งเดียวกันที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้นั่นเอง


 
ช่วงเวลา 9 ปีภายหลังที่เขาเดินทางกลับมาจากประเทศธิเบตเขาได้ลาออกจากอาชีพงานประจำที่เคยใช้เป็นเครื่องมือยังชีพหันมาทุ่มเทให้กับกิจกรรมทางศาสนาเผยแพร่หลักวิชา “รหัสนัยขนานแท้ที่เขาได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากอาจารย์ในธิเบตให้แก่ชาวญี่ปุ่นที่กำลังประสบกับภาวะความเครียดและความล้มละลายทางบุคลิกภาพอันเป็นผลโดยตรงจากวัฒนธรรมบริโภคนิยมและบูชาวัตถุเงินทองของระบบทุนนิยม


กิจกรรมของเขาเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งถึงปีค.ศ.1982 ที่เขาเคยดูดาวสำรวจโชคชะตาของตัวเองแล้วทำนายไว้ว่าเขาจะเป็นมะเร็งและอาจเสียชีวิตในปีนี้ก็เป็นได้


เช้าวันหนึ่งในช่วงต้นปีของปีนั้นเขาเกิดอาการปวดท้องที่บริเวณกระเพาะอย่างรุนแรงและไม่ทราบสาเหตุอาหารที่รับประทานเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมดและมีอาการท้องเสียต่อเนื่องกันซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร


เขานึกถึงคำทำนายที่ตนเองเคยทำนายตัวเองเอาไว้ในอดีตและเตรียมปลงใจเอาไว้แล้วตัวเองคงพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมและคงจะต้องตายด้วยโรคมะเร็งจริงๆเป็นแน่


ในช่วงนั้นอาหารที่เขาจะพอรับประทานเข้าปากได้ก็มีแต่น้ำข้าวเท่านั้นส่วนอาหารอย่างอื่นจะอาเจียนออกมาหมดแต่ที่แปลกก็คือพละกำลังของเขามิได้ถดถอยลงแต่อย่างใดเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เลิกกิจกรรมเผยแพร่หลักวิชารหัสนัยที่ตัวเองทำอยู่และก็ไม่เลิกฝึกฝนวิชาของตนเองด้วย


 
เขาอดทนทำงานหนักต่อไปอย่างหักโหมอีก 3 อาทิตย์โดยรับประทานแต่เฉพาะน้ำข้าวและอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดกับกระเพาะจนกระทั่งความเหนื่อยล้าของร่างกายมาถึงจุดขีดสุดที่ร่างกายจะทนทานต่อไปได้เขาจึงล้มลงนอนหลับเป็นตายเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเต็มเขาตื่นขึ้นมาในตอนดึกพร้อมกับพบว่าตัวเองมีความหิวอยากรับประทานอาหารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วง 2-3 เดือนนี้


เขาลืมกลัวอาการปวดท้องที่สร้างความทรมานให้แก่เขาเปิดตู้เย็นหยิบฉวยของกินในนั้นมากินจนเต็มอิ่มลิ้นของเขาสัมผัสถึงความอร่อยของรสชาติอาหารและก็ไม่เกิดอาการปวดท้องอีกต่อไปแล้ว


เมื่อรับประทานอิ่มเขากลับไปนอนต่อและตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นคราวนี้เขารู้สึกสดชื่นแข็งแรงราวกับเกิดใหม่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเหมือนช่วงก่อนเกิดอาการปวดท้อง


เขารู้สึกสะดุดใจจึงเดินทางขึ้นไปที่ยอดเขาแห่งหนึ่งเพื่อดูดาวตรวจชะตาชีวิตของตนเองในท้องฟ้าแล้วเขาก็พบความประหลาดใจที่ได้พบว่าดาวที่บ่งชี้ว่าเขาจะเป็นโรคร้ายได้หายไปแล้วเพียงแต่ว่าก่อนที่ดาวมะเร็งจะหายไปมันได้สำแดงฤทธิ์เดชอาการของมันให้เขาได้รับรู้เป็นการเตือนใจไว้ก่อนเท่านั้นเอง


ที่เขารู้แน่ๆก็คือบัดนี้เขารอดพ้นจากความตายมาได้แล้วอาจด้วยผลบุญผลกรรมในปัจจุบันที่เขาได้ทำการช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากด้วยการเผยแพร่หลักวิชาสายรหัสนัยตลอดช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมานี้ก็เป็นได้ที่ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของชีวิตของเขาเองได้อีกครั้ง


เพราะฉะนั้นชีวิตที่เหลือหลังจากนี้ของเขาจึงเป็นเสมือนกำไรชีวิตที่เขาตั้งใจจะใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
 


หลังจากที่เขารอดตายจากโรคมะเร็งแล้ววิชาของเขาก็ยิ่งพัฒนายิ่งขึ้นในระดับก้าวกระโดดเพราะเขาสามารถบรรลุหลักวิชารหัสนัยขั้นที่ 9 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดได้ภายใน 1 เดือนหลังจากที่หายป่วยโดยได้แง่คิดจากการที่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังฝึกวิชาที่ใช้ 2 มือยันพื้นเท้าชี้ฟ้าทำให้ถึงกับตาสว่างล่วงรู้เคล็ดลับสุดยอดของหลักวิชาที่เป็นปริศนาเซนหรือโคอานที่ท่านอาจารย์คูทัทสุได้มอบให้เขาก่อนจากกันแล้วเขาใช้เวลาครุ่นคิดมาโดยตลอดถึง 8 ปีเต็มก็ยังตีความไม่ออกจนเพิ่งมาตีความออกได้ในปีที่ 9


เขาประกาศตั้งสำนักของตนอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้เองบัดนี้เขามีลูกศิษย์ 2,000 คนและมีกองทุนอาคารกับที่ดินที่ได้รับบริจาคจากเศรษฐีผู้มีศรัทธาในตัวเขามีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านเยน


ผู้คนภายนอกต่างคิดกันไปเองว่าเขาจะต้องมีทรัพย์สินส่วนตัวร่ำรวยในระดับมหาเศรษฐีเป็นแน่แต่เปล่าเลยเขาและครอบครัวมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์แค่บ้านหลังหนึ่งที่เขาและครอบครัวซื้อมาก่อนตั้งสำนักเท่านั้น


และเขาก็ไม่เคยเล่นหุ้นเลยแม้ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ผู้คนแห่เข้าไปเล่นหุ้นกันอย่างลืมตัวทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่สำนักเขามีอยู่นั้นเขาถือว่าเป็นสมบัติของทุกคนที่ทุ่มเทร่วมแรงร่วมใจกับเขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อประโยชน์สุขและสันติสุขของมนุษยชาติ


โดยส่วนตัวของเขาแล้วเขาไม่เคยคิดว่าเงินทองหรือสิ่งของคือสมบัติที่มีค่าของเขาแต่ลูกศิษย์ที่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเขามีอุดมคติปรัชญาเฉกเช่นเดียวกับตัวเขาต่างหากที่เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดสำหรับตัวเขาอย่างที่ไม่สามารถหาทรัพย์สินอื่นใดมาทดแทนได้


และการที่เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างเปี่ยมไปด้วยปิติโดยได้รับแสงธรรมจากพระเมตตาคุณและพระปัญญาธิคุณของศาสนาพุทธโดยที่ไม่ได้บวชเป็นพระทั้งตลอดวันตลอดคืนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ความจริงก็เป็นสมบัติที่ล้ำค่ากว่าสิ่งใดในโลกนี้แล้วมิใช่หรือ?..
 


คราวนี้เธอคงรู้แล้วใช่มั้ยพ่อหนุ่มจากประเทศไทยว่าเขาคนนั้นก็คือตัวเราเองเราบัดนี้มีสมญานามว่า “เมทัทสุ (ผู้บรรลุความสว่าง) ผู้เป็นเจ้าของสำนัก “คูเมไค (สำนักสุญญตาและความรู้แจ้ง)


ตัวเราไม่เป็นพระแต่ตัวเราก็ไม่ใช่โลกียชนบางคนเสียดสีตัวเราว่าเป็นบุคคลครึ่งคนครึ่งพระโดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่าถ้าหากโลกนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมหาชนหรือมวลชนส่วนใหญ่ที่เป็นโลกียชนให้กลายเป็นคนผู้ประเสริฐโดยไม่จำเป็นต้องบวชเป็นพระได้แล้วโลกนี้จะต้องเผชิญกับกลียุคหรือสภาวะอภิมหาโกลาหลในอีกไม่นานนี้อย่างแน่นอน!”


“...!?...”


“ว่ายังไง เธอพร้อมที่จะรับฟังความคิดของเรา รวมทั้งรับการถ่ายทอดหลัก วิชารหัสนัย หรือที่เราเรียกว่า วัชรเซน แล้วหรือยัง พ่อหนุ่มผู้มาจากประเทศไทย”
 









Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้