"แพ้" ทั้งแผ่นดินยอมได้หรือ ? ตอนที่ 1
โดย ชวินทร์ ลีนะบรรจง และ สุวินัย ภรณวลัย
30 พฤษภาคม 2555
กฎหมาย “ปรองดอง” จะทำให้นักการเมืองเพียงกลุ่มเดียวเป็นผู้ชนะ
ขณะที่ประชาชนทุก “สี” จะเป็นผู้ “แพ้”
ร่างกฎหมาย “กลียุค” ที่แอบอ้างในชื่อปรองดองกำลังจะเสนอเข้าสู่สภาเพื่อให้นักการเมืองอนุมัติเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องแต่เพียงลำพัง
กล่าวโดยย่อได้ว่ากฎหมายนี้ประกอบด้วยกฎหมาย 3 ฉบับเสนอรวมเล่ม “มั่ว” เข้ามาด้วยกันคือ (1) กฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมการจลาจล (2) กฎหมายว่าด้วยการคืนสิทธิให้นักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิ และ (3) กฎหมายว่าด้วยการเพิกถอนคดีที่ คตส.ได้กระทำไป
ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองนี้จึงไม่แตกต่างไปจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 4 ฉบับที่อ้างว่า “กู้” ไปเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทั้งๆ ที่การออกกฎหมายโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยชำระแทนมันเกี่ยวข้องกับการแก้น้ำท่วมตรงที่ใด แถมเงินที่กู้ส่วนใหญ่ก็ปรากฏว่ายังไม่ได้เบิกจ่ายไปแก้น้ำท่วมแต่อย่างใด
ประเด็นก็คือการปกปิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงว่าผู้ได้ประโยชน์คนสำคัญคือทักษิณและนักการเมืองโดยอ้างว่าเป็นการปรองดอง แต่ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะ “สี” ใดในสังคม “แพ้” หมดเพราะกระบวนการยุติธรรมที่เป็น “ขื่อแป” ของบ้านเมืองเป็นที่พึ่งของคนที่มีเงินน้อยกว่าถูกทำลาย
ในส่วน (1) ขอบเขตของการนิรโทษกรรมไม่ว่าจะด้วย (ก) มิติของเวลาก็คับแคบหรือ (ข) มิติของการกระทำก็กว้างเสียจน “อะไร” ก็สามารถตีความเข้าข่ายได้หมด
ประเด็นง่ายๆ ก็คือ การกระทำความผิดตามกฎหมายระหว่าง 15 ก.ย. 48 ถึง 10 พ.ค. 54 ทำไมจึงต้องนิรโทษกรรมเฉพาะในห้วงเวลานี้ หากจะอ้างเรื่องปฏิวัติทำไมไม่ก่อนหน้านั้นเพราะปฏิวัติมิได้มีเพียงครั้งนี้เพียงครั้งเดียว ทำไมไม่เริ่มตั้งแต่ 24 มิ.ย. 2475 เพื่อความเท่าเทียมกัน
ในทำนองเดียวกันการกระทำ “อะไร” บ้างที่เข้าข่ายนิรโทษกรรม คดีหมิ่นฯ ตาม ม. 112 การฆ่าคนจากการชุมนุมไม่ว่า “สี” ใดทั้งที่ทำเนียบฯ ราชดำเนิน ราชประสงค์ สี่แยกคอกวัว วัดประทุมฯ การยิงอาวุธสงครามใส่วัดพระแก้ว หรือการเผาห้างฯ ทั้งที่ราชประสงค์และอนุสาวรีย์ฯ จะรวมยกเว้นโทษด้วยหรือไม่ หากไม่ จะแยกแยะได้อย่างไรเพราะนักโทษทุกคนจะอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำตามกฎหมายปรองดองเพื่อขอนิรโทษกรรม สองมาตรฐานหรือการ “ตะแบง” จะเป็นปลายทางที่มองเห็นได้ชัดเจนเนื่องจากมีเป้าอยู่แล้วว่าจะให้ใคร
หากผ่านได้ ในภายภาคหน้าก็อาจจะมีคนเดินลอยชายมากระซิบข้างหูให้ผู้รับเคราะห์ เช่น แม่น้องเกดได้ยินว่า “กูยิงเอง มีอะไรมะ” เหมือนดังที่ เสธ.คนดังที่ถูกยิงกบาลไปถ่ายรูปกับลูกน้องไว้เป็นที่ระลึกหลังก่อเหตุ เพื่อแสดงความ “กร่าง” ให้เห็นเป็นประจักษ์ ประชาชนคนดีทุก “สี” ทั้งแผ่นดินจึง “แพ้” คนไม่ดีจากกฎหมายนี้เพราะไปยกเลิกความผิดให้คนเลว
อย่าสับสนกับพฤติกรรม “ลิงหลอกเจ้า” ของ ส.ส.พท.อดีตแกนนำนรกป่วนชาติ (นปช.) หรืออีกหลายๆ คนที่เสนอกฎหมายอีกหลายร่างมาร่วมพิจารณากับของ “บัง-รัฐประหาร” ภายใต้ข้ออ้าง เช่น ไม่ยกเว้นโทษให้ผู้สั่งฆ่าประชาชน
ถามตรงๆ ตรงนี้ ทำไมต้องเสนอหลายร่างทั้งๆ ที่มาจากพรรคเดียวกันหากหวังผลให้ร่างตนเองเสนอผ่านสภาฯ การยกเว้นโทษฯ แต่ไม่ดำเนินการหาข้อเท็จจริงหาคนผิดจะมีประโยชน์อะไร หรือเป็นเพียง “เป้าหลอก” ให้สับสนและ “เอาใจ” คนเสื้อแดงที่นอกจากถูกทักษิณถีบหัวส่งสลัดศพออกจากหลังแล้วยังถูก “ถุยน้ำลายรดหน้า” ซ้ำอีกครั้งทั้งต่อคนเสื้อแดงที่ยังเป็นและตายไปแล้วด้วยการหลอก “ต้ม” พวกเดียวกัน กลายเป็นแดง “ต้ม” แดงอีกครา จะ “โง่” ไปถึงไหน?
ในส่วน (2) และ (3) ก็เช่นกัน คดีความในส่วน (2) ทั้งหมดเป็นเรื่องของนักการเมืองและเป็นคดีที่สิ้นสุดไปแล้ว พวกถูกตัดสิทธิฯ นี้มีอะไรดีหรือเหนือกว่านักการเมืองคนอื่น? ประชาชนทุก “สี” ไม่เกี่ยวเพราะยังสามารถเลือกใช้นักการเมืองอื่นๆ เป็นตัวแทนทำงานต่อไปได้ ในขณะที่ (3) จะมีทั้งที่สิ้นสุดในกระบวนการยุติธรรมอันเนื่องจากมีคำพิพากษาออกมาแล้ว เช่น คดีที่ดินรัชดาฯ หรือคดียึดทรัพย์ฯ และที่ยังอยู่ในกระบวนการเนื่องจากยังไม่ได้ตัวจำเลยคือทักษิณมาขึ้นศาล ส่วนใหญ่เป็นคดีความเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบอันเป็นเรื่องส่วนบุคคลระหว่างรัฐกับเอกชน (ทักษิณและพวก) ทำไมจึงต้องไปแทรกแซงก้าวล่วงอำนาจศาลในการสร้างความยุติธรรมให้สังคม
อย่าลืมว่าระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่ผู้สนับสนุนร่างกฎหมายฯนี้อ้างอยู่เสมอๆ นั้นแบ่งแยกอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และศาล ออกจากกันเพื่อป้องกันมิให้รวบอำนาจกลายเป็นเผด็จการไป ถ้าไม่เคารพหลักการนี้จะมาเป็น ส.ส.ตัวแทนประชาชนได้อย่างไร
ความขัดแย้งในสังคมเกิดขึ้นและมีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างรัฐโดยรัฐบาลกับประชาชน กลไกหนึ่งที่นำมาใช้แก้ความขัดแย้งก็คืออำนาจของศาล การที่ฝ่ายนิติบัญญัติไปเห็นดีงามกับรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหารออกกฎหมายลบล้างอำนาจตุลาการที่ตัดสินไปแล้ว ประชาชนคนดีทุก “สี” จะหาความยุติธรรมหรือหันหน้าไปพึ่งกลไกอะไรต่อไปได้ นี่คือการยึดประเทศเพราะอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการอยู่ในมือนักการเมืองหมด
การที่นายกฯ “หุ่นโชว์” ที่อาจสวยแต่ “โง่” กล่าวในเรื่องนี้อย่างไม่รู้ความหมายว่า “ควรจบที่สภาฯ” นั้น รู้หรือไม่ว่าการใช้เสียงข้างมากในสภาฯโดยไม่ฟังเสียงข้างน้อย เอะอะอะไรก็บอกให้ยกมือโหวต หรือไม่ก็บอกว่าได้รับเลือกจากประชาชนเป็นเสียงข้างมาก ดังนั้นจะทำอะไรก็ได้นั้น ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เป็นเผด็จการโดยรัฐสภาทั้งสิ้น
ส.ส.ไปดูงานประเทศที่เป็นประชาธิปไตยโดยใช้เงินภาษีของประชาชนจะซึมซับรับทราบเข้าสมองบ้างหรือไม่ว่ารัฐบาลของประเทศเหล่านั้นแม้มีเสียงข้างมากในสภาฯ แต่ก็ต้องฟังเสียงข้างน้อย จะ “ช่างแม่ (เสียงข้างน้อย) มัน” เอาแต่โหวตเพื่อความต้องการของตนเองโดยไม่สนใจเนื้อหาได้อย่างไร
โดยข้อเท็จจริงแล้วอำนาจของสภาฯ เป็นเรื่องเล็ก สภาฯ ไม่สามารถกระทำการละเมิดกฎหมายด้วยเสียงข้างมากได้ และประชาชนไม่ได้ให้อำนาจส.ส.ในสภาฯ ไม่ว่าหัวดำหัวหงอกไปออกกฎหมาย “กลียุค” เพื่อประโยชน์คนกลุ่มเดียวเช่นนี้ได้
ร่างกฎหมายปรองดองจึงเป็นกฎหมาย “กลียุค” โดยแท้จริงเพราะสนับสนุนคนเลวให้พ้นผิด ขณะที่ทำร้ายคนดีทุก “สี” ที่ไม่ยอมทำเลวตามไปด้วย เรื่องนี้จึงไม่มี “สี” เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเป็นเรื่องของคนไทยทุกคนที่จะยอมให้นักการเมืองเพียงกลุ่มเดียวมาทำลาย “ขื่อแป” บ้านเมืองเพื่อผลประโยชน์ของคนเพียงคนเดียวหรือไม่ต่างหาก
แม้ว่าจะผ่าน 3 วาระรวดในวันที่ 30-31 พ.ค.นี้ก็ต้องฝ่าด่านศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยว่ากฎหมาย “กลียุค” นี้ละเมิดหรือขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ที่สำคัญมากกว่าศาลรัฐธรรมนูญก็คือประชาชนทุก “สี” ที่จะมาแสดง “ตัวตน” ในฐานะเจ้านายให้รัฐบาลและส.ส.สำนึกต่างหาก
หากอยู่เฉยเสียจะเป็นผลร้ายต่อไปในอนาคต บ้านเมืองฉิบหายมิใช่คนเลวทำชั่วหากแต่เพราะคนดีนิ่งเฉยไม่แสดงออกว่าตนเองไม่เห็นด้วย อย่ารอพันธมิตรฯ หรือกลุ่มเสื้อ “สี” ใดมาทำแทนอีกเลย ไม่มีใครนอกจาก “คุณ” ที่จะมาทำหน้าที่เพื่ออนาคตได้
เฉกเช่นเดียวกับการเป็นทหารรับใช้ชาติ แม้จะรู้ว่าอาจต้องตายหรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่แต่ก็ต้องไป จะหวังให้ลูกหลานคนอื่นๆ ไปตายบาดเจ็บแทนเพื่อตนเองสบายได้อย่างไร มิเช่นนั้นจะถูกกลืนชาติกลืนอนาคตของลูกหลานของ “คุณ” โดยอดีตคนไทยสัญชาติมอนเตเนโกรที่คดในข้องอในกระดูกพูดเอาแต่ได้เป็นนิจ
พวกที่อยู่ในสภาฯ ขณะนี้กำลังทำ “ผิด” ให้เป็น “ถูก” ด้วยการออกกฎหมาย “กลียุค” ขณะที่พวกที่อยู่นอกสภาฯ ต่างหากที่กำลังรักษาความ “ถูก” ด้วยการคัดค้าน สังคมจึงต้องชี้นิ้วแยกแยะให้ถูกด้วย อย่าซื่อบื้อต่อไปอีกเลย
สรุปง่ายๆ ว่ากฎหมาย “กลียุค” ในชื่อปรองดองเอื้อประโยชน์กับทักษิณและนักการเมืองที่เป็นคนมีเงินให้ไม่ต้องติดคุก ได้เงินที่โกงไปคืน ได้สิทธิทางการเมืองคืนทั้งที่โกงการเลือกตั้ง ด้วยการทำลายระบบยุติธรรมที่เป็นที่พึ่งของคนที่ไม่มีเงิน ใครไม่เห็นด้วยก็ “ช่างแม่มัน” เอาเสียงข้างมากในสภาฯ ลากไป ประชาชนทุก “สี” จะนิ่งเฉยยอม “แพ้” ทั้งแผ่นดินได้หรือ?