13. พันธมิตรฯ รำลึก  พวกเราเป็นบุตรธิดาแห่งดวงดาว
ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ทั้งงานเขียนและตัวตนของ “พี่เสก” หรืออาจารย์เสกสรรค์  ประเสริฐกุล ไม่แต่เท่านั้น ผมยังถือว่า “พี่เสก” เป็น พี่ชายทางจิตวิญญาณ  ของผมอีกด้วย หนังสือ 2  เล่มที่ตัวผมทุ่มเทเขียนให้แก่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็น  “ยามเฝ้าแผ่นดิน” (พ.ศ. 2551) และ “เทียนแห่งธรรม” (พ.ศ. 2552)  ตัวผมได้เขียนเรื่องราวแห่งการสลายตัวตน  และประสบการณ์ทางวิญญาณของอาจารย์เสกสรรแทรกไว้ด้วยทั้งสองเล่ม
ทำไมตัวผมจึงให้ความสนใจกับเรื่องราว  และงานเขียนของอาจารย์เสกสรรค์มากถึงเพียงนี้ และทำไมตัวผมจึงเห็นว่า  พี่น้องพันธมิตรฯ ของผมควรหันมาสนใจและศึกษา บทสรุปทางความคิดที่ตกผลึกแล้ว  ของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล?
เหตุผลที่รวบรัดที่สุดก็คือ  เพราะพวกเราเป็นบุตรธิดาแห่งดวงดาว เรื่องนี้ผมคงต้องขยายความ...ในความเห็นของผม  เสกสรรค์ ประเสริฐกุล แทบจะเป็นปัญญาชนสาธารณะเพียงไม่กี่คนในสังคมนี้ที่ได้พัฒนา  “ตัวตน” ของเขาจนถึงขั้น “สลายตัวตน”  มิหนำซ้ำตัวเขายังได้บันทึกเส้นทางการเติบโตทางจิตวิญญาณของเขาไว้อย่างสมบูรณ์ตลอดเส้นทางชีวิตของเขาในรูปของ  วรรณกรรมบาดแผล ซึ่งผมหมายถึง  งานเขียนของเขาที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สามัญชนทุกเล่ม ตั้งแต่ “ฤดูกาล” จนมาถึง  “เมื่อโลกไม่มีประวัติศาสตร์” ก่อนที่จะกลายมาเป็น วรรณกรรมแห่งการสลายตัวตน  ซึ่งเริ่มจาก “ผ่านพบไม่ผูกผัน” “วันที่ถอดหมวก” “ผ่านพ้นจึงค้นพบ”  “อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ” และล่าสุดคือ  “บุตรธิดาแห่งดวงดาว”
ความทุกข์อย่างท่วมท้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเสกสรรค์  คือ ทุกข์แห่งตัวตน และการยึดติดในตัวตน  เนื่องจากตัวตนในอดีตของเสกสรรค์ผูกติดกับภาพลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของตัวเขาที่เป็นอดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์  14 ตุลาคม พ.ศ. 2516  และเป็นอดีตนักรบนักปฏิวัติที่เคยเข้าป่าจับปืนทำสงครามประชาชนร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  เป็นเวลากว่า 5 ปี ก่อนจะออกจากป่าวางปืนด้วยความพ่ายแพ้  และบอบช้ำทางจิตใจที่ร้าวลึก
เสกสรรค์เจ็บปวดกับความพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองที่ตัวเขาต้องยอมจำนนต่ออำนาจรัฐ  สิ่งนี้มันกระทบกระเทือน “ตัวตน” ซึ่งเต็มไปด้วยความทระนง  และความหยิ่งในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นนักเลงโบราณและความเป็นลูกผู้ชายของตัวเขา  จนทำให้แม้ตัวเขาจะออกจากป่ามาหลายปีแล้ว แต่ “สงครามในจิตใจ”  ของเขาไม่เคยยุติเลย
เสกสรรค์ได้ใช้เวลาเป็นสิบปี  หลังจากนั้นหมดไปกับการเดินป่า  ออกทะเลเพื่อค้นหาและกอบกู้ศักดิ์ศรีแห่งตัวตนที่สูญหาย แหว่งวิ่นไปกลับคืนมา  ในช่วงระหว่างนั้น เขาทั้งตกปลา ปีนเขา ล่องแก่งเพียงเพื่อจะกู่ร้องให้ก้องโลกว่า  “ข้าแน่” เท่านั้น เสกสรรค์ขัดแย้งกับโลก ขัดแย้งกับผู้อื่น  และขัดแย้งกับตนเองจนอ่อนล้าสิ้นแรงดิ้นรนแทบไม่อาจอยู่เป็นผู้เป็นคน  กระทั่งนำไปสู่ชีวิตส่วนตัวที่ล้มเหลว
ขณะนั้นเสกสรรค์เริ่มเข้าสู่วัยห้าสิบกว่าๆ  แล้ว เขาทุกข์ทรมานกับ “ตัวตน” ของเขา และความยึดติดใน “ตัวตน” ของเขาอย่างแสนสาหัส  จนเขาต้องเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า  มีหนทางใดบ้างที่จะทำให้ตัวเขาไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้ โดยที่ในขณะเดียวกัน  ก็ไม่ต้องสยบจำนนยอมเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ตัวเขาไม่เห็นด้วย  เสกสรรค์ดิ่งลึกเข้าไปสำรวจด้านในของชีวิต และวิจารณ์ตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย  จนกระทั่งตัวเขาได้ตระหนักว่า แท้ที่จริงแล้ว  ตัวเขาได้ตกเป็นเหยื่อของอุปาทานบางอย่างที่ “ตัวตน”  ของเขาได้จินตนาการสร้างขึ้นมาเอง 
เสกสรรค์ได้ค้นพบว่า  ที่ผ่านมาเขาได้นิยาม “ตัวตน” ของเขา ด้วยศัพท์แสงสารพัด ไม่ว่าจะเป็นนักรบ นักเลง  ลูกผู้ชาย นักปฏิวัติ ฯลฯ  แล้วก็พยายามตัดแต่งชีวิตให้เป็นไปตามคำจำกัดความที่ตัวเขายึดมั่นถือมั่น  เสกสรรค์ต้องยอมสู้ทนกับทัณฑ์ทรมาน  ยอมกระทั่งยินดีทะเลาะกับโลกทั้งโลกเพียงเพื่อรักษา “ตัวตน”  ของเขาให้เป็นไปตามที่ตัวเขาได้จินตนาการหรือนิยามเอาไว้ พูดง่ายๆ ก็คือ  เสกสรรค์ได้สร้าง “นรกในใจ”  ขึ้นมาหลายขุมด้วยการหมุนวนอยู่ในโลกแห่งความคิดแห่งการนิยาม “ตัวตน”  แบบนี้
ผลที่ออกมาก็คือ เสกสรรค์แทบจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นผู้เป็นคนไม่ได้  อีกทั้งยังรู้สึกหดหู่รันทดเมื่อเห็นรอยเลือด และคราบน้ำตาทั้งของตัวเอง  และผู้อื่นที่ตัวเขาทิ้งไว้ตามรายทาง
สภาพเช่นนี้  ทำให้เสกสรรค์ต้องหันมาทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิตของเขา และ  หาทางเยียวยาจิตวิญญาณที่บอบช้ำของเขาอย่างจริงจัง ด้วยการเฝ้า “ดูจิต”  ของตัวเองแทบจะตลอดเวลาให้มีสติรู้ตัว เลิกคิดว่าตัวเองเป็นใคร  เพราะความมีตัวตนของเขามันผูกติดอยู่กับข้อมูลในอดีตที่เป็นบาดแผลของชีวิต  เขาจึงไม่เพียงหยุดคิดเรื่องอดีตเท่านั้น แม้แต่อนาคตเขาก็ไม่คิดถึง  เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยคิดว่าเป็นชีวิตของเขามันพังพินาศไปหมดแล้ว
เสกสรรค์พลัดเข้าสู่ภาวะอนัตตาโดยไม่ได้ตั้งใจ  เขากลายเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันขณะ ทีละห้วงขณะโดยไม่รู้ตัว  การเลิกคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เลิกอยู่กับอดีต  และไม่คิดถึงอนาคต อยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้น  มันทำให้เสกสรรค์ได้สมาธิอย่างเป็นธรรมชาติ จนเขาไม่เดือดร้อนอีกต่อไปแล้วว่า  สังคมหรือคนอื่นจะมองตัวเขาอย่างไร เขาไม่มีความเห็นอีกต่อไปว่า  โลกและชีวิตสมควรจะเป็นอย่างไร ตัวเขาจึงไม่มีข้อเรียกร้องต่อตัวเองและผู้อื่น  เขาจึงไม่มีสิ่งที่ผิดหวัง  และไม่มีสิ่งที่เสียใจอีกต่อไป
พอเขาทำเช่นนี้หรืออยู่ในภาวะอนัตตา  (ไร้ตัวตน) เช่นนี้ได้นานวัน  ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจขึ้นกับตัวเขาราวกับปาฏิหาริย์ เพราะจู่ๆ  ในเช้าวันหนึ่งเสกสรรค์ตื่นขึ้นมาราวกับได้เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณ  เขารู้สึกมีความสุขสงบภายในอย่างไม่มีเหตุผล เขารู้แต่เพียงว่า  ความสุขสงบนี้มันผุดขึ้นมาจากข้างใน มันอยู่ในตัวของเขา  มันเป็นความปลื้มปีติบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย  เรื่องราวทุกข์โศกของเขาที่เคยมีดูเหมือนจะหายไปสิ้น เขาเปลี่ยนไปแล้ว  และไม่สามารถกลับไปมองโลกและชีวิตแบบเดิมได้อีกต่อไปแล้ว 
ในอดีต  วิถีของเสกสรรค์ เป็นการแสวงหา ตัวตนขั้นสูง เหมือนกับชาวพันธมิตรฯ  แต่มันก็ยังเป็นตัวตน เป็นอัตตาที่ยังยึดตัวตนเป็นศูนย์กลางในการประกาศความคิดของตน  และมุ่งกระทำตามความคิดของตน แม้จะเป็นความคิดเชิงอุดมคติที่ถูกต้อง  สูงส่งและเพื่อส่วนรวมก็ตาม แต่มันก็ยังผูกติดอยู่กับการดำรงอยู่แบบมี  “ตัวกู-ของกู” อยู่ดี มาบัดนี้  เสกสรรค์ได้ก้าวข้ามหรือข้ามพ้นความยึดติดในเรื่องวีรกรรมไปแล้ว  เพดานความคิดของเขาจึงสูงล้ำไปอีกขั้นหนึ่ง และลึกล้ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม  ระดับจิตที่ถูกยกขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งของเขานี้  ทำให้จิตใจของเสกสรรต่างไปจากเดิมมาก
บัดนี้ เขาไม่สนใจไปประกาศนาม  ทำคุณงามความดีตามข้อเรียกร้องของใครทั้งสิ้น เขาพอใจที่จะอยู่กับความสงบนิ่งภายใน  แล้วทำสิ่งดีๆ ออกมาตามธรรมชาติของความสงบนิ่งนั้น เขาทำดีเพราะรู้สึกดีที่จะทำ  เขาไม่ได้ทำเพื่อผู้อื่น  เพราะตัวเขาไม่ได้แยกสภาวะออกเป็นตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไป
เสกสรรค์รู้แจ้งแล้วว่า  ทุกข์นั้นไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้  และทิ้งให้คนผู้นั้นจมดิ่งอยู่ในความมืดมิดเสมอไป  เพราะทุกข์นั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแสงสว่างก็ได้เหมือนอย่างในกรณีของเขา  ที่ทุกข์นั้นเป็นจุดเลี้ยวกลับที่พาตัวเขามาเข้าใจสัจธรรมของชีวิต  ทุกข์นั้นแท้จริงแล้วคือบทเรียนที่ฟ้าดินมอบให้แก่ผู้นั้น 
หาก  “ผ่านพบไม่ผูกพัน” เป็นการบำเพ็ญภาวนาด้วยงานเขียนของเสกสรรค์งานอย่าง  “วันที่ถอดหมวก” ก็คงเป็นบทบันทึกแห่งการเจริญสติในชีวิตประจำวันของตัวเขา ส่วน  “ผ่านพ้นจึงค้นพบ” ก็เป็นบทสำรวจตัวเองของเขา ขณะที่งานเขียนล่าสุดของเขาอย่าง  “บุตรธิดาแห่งดวงดาว” คือ บันทึกการสนทนาเกี่ยวกับด้านในของชีวิตของตัวเขา หนังสือ  “บุตรธิดาแห่งดวงดาว”  ของเสกสรรค์เล่มนี้เป็นงานเขียนที่ผิดแผกจากหนังสือเล่มอื่นของเขา  เล่มที่ใกล้เคียงที่สุดกับงานเขียนเล่มนี้ของเขา น่าจะเป็น “ผ่านพบไม่ผูกพัน”  แต่งานเขียนเล่มนี้ของเขามีความเป็นบทกวีมากกว่า  หรือมีความเป็นร้อยแก้วที่มีร่องรอยของสัมผัสมากกว่า
ประเด็นหลักๆ ของ  “บุตรธิดาแห่งดวงดาว” เล่มนี้ คือ การถ่ายทอดภูมิปัญญาแบบรหัสนัยธรรมชาติ (Nature  mysticism) ที่ได้จากการรับรู้หรือสัมผัสโลกธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมา  โดยไม่มีทัศนะหรือกรอบความคิดทั้งหลายมากั้นขวาง เสกสรรค์บอกว่า ความเป็นจริง  (Reality) โดยตัวมันเองไม่มีชื่อเรียกขาน และมักอยู่เหนือคำนิยามที่เราบัญญัติขึ้น  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ไม่เคยรู้ว่าตัวเองถูกเรียกว่าอะไร  แต่สิ่งเหล่านี้มีอยู่และเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนไปตามกฎเกณฑ์อันยากที่จะเข้าถึง  และยากที่จะอธิบายได้ครบถ้วน
เช่นเดียวกับแผ่นฟ้า ท้องทะเล สายน้ำ  และความรู้สึกของผู้คน ความจริงก็ไม่มีชื่อเรียกขานมาก่อน  ขอให้ลองนึกภาพตัวเองที่กำลังเดินคนเดียวบนหาดทรายใกล้ค่ำ  ขณะฟองคลื่นโลมไล้เปลือยขาและลมชื้นลูบแก้ม  ยามนั้นตะวันที่ลับขอบฟ้าไปแล้วยังทิ้งแสงสุดท้ายป้ายขอบเมฆจากสุกแสดใสสว่างเป็นม่วงครามหรี่เลือน  ไม่นานผู้นั้นจะพบตัวเองอยู่ในความมืด ท่ามกลางเสียงน้ำซัดทราย  และเสียงนกทะเลเรียกหามิตรสหาย
เสกสรรค์บอกว่า ในห้วงยามนั้น  ผู้นั้นจำเป็นต้องบอกตัวเองด้วยถ้อยคำวาจาหรือเปล่าว่า นั่นคือคลื่น นี่คือหาดทราย  สิ่งนั้นคือ แสงอาทิตย์ สิ่งนี้คือสายลม เราได้ยินเสียงนกที่กำลังกลับรัง  และมีความรู้สึกเย็นสบายสุขใจ ฯลฯ คำตอบของเสกสรรค์ก็คือ ไม่เลย!  ผู้นั้นไม่จำเป็นต้องบอกตัวเองด้วยถ้อยคำใดๆ เลย  เพราะตราบใดที่ห้วงยามนั้นไม่มีการคิดเข้ามาเจือปน  สัมผัสที่เกิดขึ้นและผู้นั้นได้รับ  ย่อมแผ่ซ่านเข้าสู่จิตใจของผู้นั้นอย่างไร้กำแพงกั้นขวาง  
เสกสรรค์ยังบอกอีกว่า ในห้วงยามดังกล่าว ไม่ว่ายาวหรือสั้น  ผู้นั้นไม่มีทั้งความเป็นมา และความเป็นไปที่จะต้องห่วงกังวล ไม่มีการคิดว่า  ตัวเองเป็นใคร และจะต้องทำอะไร ขณะนั้น ผู้นั้นกำลังอยู่กับปัจจุบันขณะ  และอยู่กับสรรพสิ่งรอบๆ จนแทบจะแยกกันไม่ออก  ผู้นั้นกำลังเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและว่างโล่งจากตัวตน
นี่คือ  ความแตกต่างระหว่างชีวิตจริงๆ กับชีวิตในโลกแห่งความคิด ความเชื่อ ความปรุงแต่ง  ตลอดจนกรอบภาษา และคุณค่าต่างๆ ที่สมมติกันขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า  การรับรู้โลกหรือความเป็นจริงนั้น มีอยู่ 3 แบบด้วยกัน แบบแรก คือ  การรับรู้โดยตรงอันเป็น โลกแห่งตถตา หรือความเป็นเช่นนี้เอง แบบที่สอง คือ  การรับรู้ในเชิงนิยามภาษา อันเป็น โลกแห่งตัวแทน แบบที่สาม คือ  การรับรู้ในเชิงภาพลักษณ์ อันเป็น โลกแห่งอุปาทาน หรือการปรุงแต่ง  ทุกข์ส่วนใหญ่ของคนเรานั้นเกิดจากการถูกจองจำให้รับรู้โลกได้ในแบบที่สอง  หรือแบบที่สามเท่านั้น โดยไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรงในการรับรู้โลกในแบบแรกเลย  จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนชีวิตจะลวงตาพวกเรามาตั้งแต่เกิด