28. พันธมิตรฯ  รำลึกพงหนามของประชาธิปไตยไทยกับความจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ  (ต่อ)
พรรคไทยรักไทยซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  เป็นหัวหน้าพรรคที่ขึ้นมาเถลิงอำนาจในปี 2544 จะว่าไปแล้วก็คือ  ตัวแทนของกลุ่มทุนไทยขนาดใหญ่ที่รอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มาได้นั่นเอง  กลุ่มทุนไทยขนาดใหญ่เหล่านี้ ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า  มีความจำเป็นที่ต้องเข้ามายึดกุมอำนาจรัฐโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งเพื่อใช้อำนาจรัฐนี้ไปปกป้องธุรกิจของพวกตนจากความผันผวนของเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ที่ยากจะคาดการณ์ได้
กลุ่มทุนไทยขนาดใหญ่เหล่านี้เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในอนาคตหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี  2540 พวกเขาจึงต้องการได้ “อำนาจรัฐ” เพื่อมาใช้สนับสนุนส่งเสริม  รวมทั้งให้อภิสิทธิ์แก่กลุ่มตน  และพวกพ้องโดยเฉพาะในการกำหนดกฎกติกาและนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่ตนและพรรคพวก
ถ้าพิจารณาองค์ประกอบของกลุ่มทุนไทยขนาดใหญ่ที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทย  และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเห็นได้ว่า  ส่วนใหญ่ของกลุ่มทุนเหล่านี้ล้วนดำเนินธุรกิจที่ต้องอาศัยใบอนุญาตหรือสัมปทานจากภาครัฐ  หรืออย่างน้อยการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับภาครัฐเพื่อเอื้ออำนวยในเรื่องกฎกติกาเป็นสิ่งจำเป็นในการประกอบธุรกิจของพวกเขา
เพราะฉะนั้น  ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 การที่พวกนายทุนใหญ่พวกนี้ได้ผันตัวเองมาเป็น  “นักการเมือง”  โดยตรงเพื่อยึดกุมอำนาจรัฐจึงมีความสมเหตุสมผลทางธุรกิจในการที่จะลดความเสี่ยงทางธุรกิจของพวกตน  โดยการเข้ามาเป็นผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจโดยตรงด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ “การเมือง”  สำหรับพวกนายทุนใหญ่กลุ่มนี้ จึงเป็นเรื่องของ “วิธีคิดแบบนักธุรกิจ” ล้วนๆ  หาได้มีอุดมคติทางการเมืองหรืออุดมการณ์ทางการเมืองอย่างที่ได้พยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นมาแต่อย่างใดไม่
เป็นที่น่าสังเกตว่า  พรรคไทยรักไทยได้ใช้ นโยบายประชานิยม  เป็นอาวุธทางการเมืองที่ทรงพลังยิ่งในการไต่เต้าอย่างพรวดพราดขึ้นมายึดอำนาจรัฐอย่างได้ผล  โดยผ่านการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นโยบายประชานิยม แบบต่างๆ  ที่นำเสนอโดยพรรคไทยรักไทยนี้ล้วนถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อดูดคะแนนเสียงจากชนชั้นรากหญ้าในภาคอีสานและภาคเหนือโดยเฉพาะ  จึงมีแนวโน้มที่จะไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม  และไม่ได้คำนึงถึงภาระทางการคลังของรัฐบาลเท่าที่ควร
นโยบายประชานิยม  จึงหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะนำไปสู่การใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างขาดประสิทธิภาพ  และไปบดบังโครงการอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อสังคมเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวมากกว่า  เช่น  การปฏิรูปการศึกษาซึ่งเป็นหัวใจของการเพิ่มศักยภาพของประชาชนไทยที่เป็นจุดอ่อนของทุกรัฐบาลมาโดยตลอด
*  * *
โดยการชูคำขวัญ “คิดใหม่ ทำใหม่” พร้อมๆ  กับการรณรงค์อย่างแข็งขันด้วยชุดของนโยบายใหม่อย่างเช่น การพักชำระหนี้เกษตรกร  การประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค การตั้งกองทุนหมู่บ้าน การปราบปรามยาเสพติด  และการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางย่อย ฯลฯ ของพรรคไทยรักไทยที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  เป็นหัวหน้าพรรค ทำให้ผลการเลือกตั้งที่มีขึ้นในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ปรากฏว่า  พรรคไทยรักไทยได้เสียงมากสุด คือ ในจำนวน ส.ส.เขต 400 เสียง พรรคไทยรักไทยได้ถึง  208 เสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้คะแนนเป็นอันดับสองได้เพียง 97  เสียงเท่านั้น
ส่วนจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100  คนที่จัดสำหรับพรรคที่ได้คะแนนบัญชีรายชื่อ 5% ขึ้นไป พรรคไทยรักไทยได้ 48 เสียง  พรรคประชาธิปัตย์ได้ 31 เสียง ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  โดยได้เสียงรับรองในสภาผู้แทนราษฎรถึง 339 เสียง มาจากพรรคไทยรักไทย 246 เสียง  ส่วนที่เหลือมาจากพรรคอื่นๆ ที่ต่อมาได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคไทยรักไทย คือ  พรรคชาติไทย พรรคความหวังใหม่  และพรรคเสรีธรรม
หลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  ได้พยายามแสดงท่าทีผ่อนปรนต่อภาคประชาชน เมื่อเทียบกับรัฐบาลชุดก่อน เช่น  ให้คำมั่นสัญญาต่อสมัชชาคนจนว่าจะเร่งแก้ปัญหาให้ สมัชชาคนจนจึงยุติการชุมนุม  เปิดโอกาสและให้เวลารัฐบาลในการดำเนินการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้  รัฐบาลทักษิณยังได้ยกเลิกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์อย่างเป็นทางการในวันที่ 3  มิถุนายน พ.ศ. 2544
ในเรื่องของการบริหารราชการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  ยังเริ่มต้นการบริหารส่วนภูมิภาคแบบใหม่ โดยนำระบบ “ผู้ว่าฯ แบบซีอีโอ” เข้ามาใช้  ซึ่งก็คือ การให้อำนาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพิ่มขึ้นจนครอบคลุมทุกด้าน  แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดในระบบนี้จะต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่า  จะดำเนินการอย่างไรให้แก่จังหวัด และจะมีการประเมินผลงานทุก 2 ปี  ในลักษณะเดียวกับผู้บริหารธุรกิจ
ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 7  ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิดกรณีซุกหุ้นในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2544  เพราะเป็นการ “บกพร่องโดยสุจริต” ก็ยิ่งทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระชับอำนาจ  ได้มากยิ่งขึ้น  และสามารถบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องพะวงหลังว่าจะถูกถอดถอนสิทธิทางการเมือง  จึงทำให้หลังจากที่บริหารประเทศไปได้หนึ่งปีคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังสูงลิ่ว  เพราะนอกจากพรรคของเขาจะดำเนินนโยบายประชานิยมตามที่ได้หาเสียงแล้วในช่วงนั้น  ยังมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างมากจากการปั่น “ฟองสบู่”  อีกครั้งของกลุ่มทุนใหญ่กลุ่มต่างๆ โดยคิดว่าจะสามารถควบคุมได้ในตลาดหุ้น  และตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  ยังได้แสดงบุคลิกภาพความเป็นผู้นำที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง  และตอบปัญหาทุกประเด็น  อธิบายทุกเรื่องให้ประชาชนได้รับทราบผ่านรายการพบประชาชนทางวิทยุทุกเช้าวันเสาร์  ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  กลายเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากประชาชนกว่าค่อนประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนกับนายกรัฐมนตรีคนใดก่อนหน้านี้
*  * *
อะไรคือ เคล็ดลับแห่งมนต์ขลัง ของผู้นำประเทศที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร? ความจริงในขณะนั้นที่ยากจะปฏิเสธได้ก็คือ  ประชาชนกว่าค่อนประเทศในตอนนั้นได้ตกเป็น “เชลย” ของทักษิณ ไม่ว่าคนที่สนับสนุนเขา  คนที่ศรัทธาเขา หรือคนที่รู้ทันเขา คนที่ไม่ชอบไม่ไว้วางใจในการกระทำของเขา  รวมทั้งคนที่ไม่แคร์ว่าใครจะเป็นผู้นำก็ได้ ผู้คนเหล่านี้ล้วนตกเป็น “เชลย”  ของทักษิณในตอนนั้นด้วยกันหมดทั้งสิ้น ทุกคนกลายเป็นเชลยของทักษิณ  มิใช่เพราะความหวาดกลัว และมิใช่เพราะอำนาจบารมีส่วนตัวของทักษิณ  เพราะลำพังแค่ความสามารถทางวาทศิลป์ของเขาในการพูดจาโน้มน้าวจิตใจประชาชนผ่านทางรายการวิทยุทุกวันเสาร์  ไม่น่าจะทำให้ผู้คนกว่าค่อนประเทศตกอยู่ในภาวะจำยอมเหมือนกับเป็นเชลยของทักษิณได้ถึงเพียงนี้
แต่น่าจะเป็นเพราะว่า  คนไทยเกือบทั่วทั้งประเทศในตอนนั้น ได้ตกหลุมพรางหลวมตัวหลงเชื่อสิ่งที่เป็น  “นิทาน” หรือ “เรื่องเล่า” ที่ทักษิณเฝ้าเป่าหู กรอกหูคนทั้งประเทศมาโดยตลอดว่า  “เรามาถูกทางแล้ว” ต่างหาก
นิทานหรือเรื่องเล่าอันเป็น “มายาคติ”  ที่เขาและพวกสมุนของเขาเฝ้าพร่ำบอกหลอกผู้คนทั้งประเทศว่า  ขอให้เชื่อมั่นในการนำของเขา เพราะเขาจะนำพาทุกคนให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี  2540 ไปสู่ความมั่งคั่งเทียบเท่าอารยประเทศได้อย่างแน่นอนด้วย  แนวทางแบบทักษิโณมิกส์ของเขา
ในช่วงแรกๆ ดัชนีตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ  “ดูดีขึ้น” อย่างน่าอัศจรรย์  เพราะมีการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลลงไปในภาคชนบทด้วยนโยบายประชานิยม  และการปั่นฟองสบู่ในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับภาคเศรษฐกิจทุนนิยม  ทำให้ในตอนนั้นผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศล้วน “เทใจ” ให้แก่ผู้นำของเขา  ด้วยความเชื่อมั่นจากใจจริงว่า “เรื่องเล่า” ที่ผู้นำของเขา “กล่อม”  ให้ประชาชนของเขาฟังอยู่ทุกเช้าค่ำนั้น  จะเป็นจริงอย่างแน่นอนและอีกไม่ช้าคนจนจะหมดไปจากประเทศนี้  ทุกคนจึงกลายเป็นเชลยของทักษิณ  เพราะทุกคนในประเทศนี้ล้วนถูกม้วนตัวเข้าไปอยู่ในนิทานหรือเรื่องเล่าของทักษิณ  ที่แม้แต่ตัวทักษิณเองก็ยังหลอกตัวเอง เพราะหลงตัวเองอย่างสุดๆ  ในเรื่องเล่าที่ตัวเองปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา  เพราะเรื่องเล่าที่ทักษิณนำมาขายให้ประชาชนด้วยลัทธิการตลาดอันลึกล้ำ  จนกระทั่งตัวเขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศได้นี้ มีตัวเขาเล่นเป็น “พระเอก”  ของเรื่อง ดุจอัศวินม้าขาวผู้มากอบกู้วิกฤตของชาติ  โดยที่ตัวเขาคือความหวังของผู้คนทั้งประเทศ
การแสดงของเขาในฐานะผู้นำประเทศที่ผ่านมาคือ  การใช้ชีวิตเพื่อให้เรื่องเล่าหรือนิทานนี้ดูสมจริง  โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็สวมบทบาทไปตามเรื่องเล่าของทักษิณคือ  พวกเขามุมานะทำงานหนักในตอนกลางวัน มอมเมาตัวเองด้วยสุรา  หรือละครน้ำเน่าทางโทรทัศน์ในตอนกลางคืน  และพยายามที่จะไม่วิตกวิจารณ์อะไรมากนักเกี่ยวกับปัญหาที่สะสมอย่างหมักหมมของสังคมนี้และโลกใบนี้
ทักษิณผู้เล่นบท  “พระเอก”  ในเรื่องเล่าหรือนิทานเรื่องนี้คงยังไม่ได้ตระหนักหรือสำนึกในตอนนั้นกระมังว่า  พระเอกในนิทานเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ  ตัวทักษิณจะมีชีวิตที่เรืองโรจน์อยู่เพียงช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้นเอง  เพราะตัวเขาเองเป็นคนปฏิเสธที่จะเล่น “นิทานเรื่องอื่น” ว่าด้วย  “เศรษฐกิจพอเพียงคือทางรอด”  แต่ทักษิณกลับเป็นคนเลือกเองด้วยอัตตาของเขาเองที่จะอยู่อย่างรุ่งโรจน์  แม้ว่าจะแสนสั้นก็ตาม เพราะอีกไม่นานหลังจากนั้น ทักษิณจะได้เห็นด้วยตาตนเองพร้อมๆ  กับผู้คนส่วนใหญ่ว่า “สวรรค์”  ของเขากำลังล่มลงด้วยน้ำมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย