ธรรมบูรณา ภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับบทเรียนการกู้ชาติทางจิตวิญญาณของ ศรี อรพินโธ (ตอนที่ 28)
28. หมวกที่ถูกถอด ( ต่อ )
ความที่ เสกสรรค์ เจ็บปวดกับชีวิตมากในช่วงนั้น ทำให้ตัวเขา ‘พลัดหลง’ เข้าไปสู่ ‘อนัตตา’ หรือ สภาวะว่างจากตัวตน ในฐานะที่เป็น ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณโดยตรง อย่างที่ตัวเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน...
เรื่องราวของ เสกสรรค์ คือ ตำนาน ทั้งในช่วงวัยฉกรรจ์อันเร่าร้อนของเขา ทั้งในสายฝนกระหน่ำ ใต้เรือนยอดไม้แห่งป่าดิบทึบทะมึน ทั้งในคืนฟ้าดาราพร่าง บนหนทางไกลอันทุรเข็ญ ทั้งในห้วงมหรรณพสีคราม เวิ้งว้างคือมหาวิหาร
เขา ดิ้นรนแสวงหาไปในความเปลี่ยวดายของผืนน้ำกว้างแห่งอันดามัน หรือทางทากอันรกเรื้อเหนือสายน้ำเชี่ยว
เขา สะท้อนความรู้สึกแห่งตัวตนในชั่ว ‘ขณะ’ แห่งความหมองหม่นอย่างสัตย์ซื่อกับอดีตที่ไม่เคยจางหายไปจากหัวใจ
ความทุรนทุรายจากการโค่นทลายของอุดมคติกับความปริแยกจากหญิงสาวที่เป็นสิ่งมีค่าทางใจที่เคยยึดเหยี่ยวเขาไว้กับโลกใบนี้ มันผลักดันเขาให้ตกลงสู่หลุมเหวแห่งความรวดร้าว สิ้นหวัง สิ่งเหล่านี้บีบให้การเดินทางของเขามาถึง ปากประตูแห่งเทวาลัยอันศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ ณ ก้นลึกใน หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง ซึ่งก็คือ ห้วงลึกแห่งจิตใจของตัวเขา นั่นเอง
เสกสรรค์ ตอนนั้นทนเจ็บปวดทางจิตใจไม่ไหว ก็เลยพานเลิกคิดว่าตัวเองเป็นใคร เพราะความมีตัวตนของเขามันผูกติดอยู่กับข้อมูลต่างๆ ที่เป็นบาดแผลของชีวิต เสกสรรค์ ไม่เพียงหยุดคิดเรื่องอดีตเท่านั้น แม้แต่อนาคตเขาก็ไม่คิดถึง เนื่องจากทุกอย่างที่เขาเคยคิดว่าเป็นชีวิตของตัวเขามันพังพินาศไปหมดแล้ว
เสกสรรค์ ได้พลัดหลงเข้าไปสู่อนัตตา กลายเป็นคนที่อยู่กับ ‘ปัจจุบันขณะ’ ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ อยู่ทีละห้วงขณะโดยไม่รู้ตัว การเลิกคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เลิกอยู่กับอดีตและอนาคตหันมาอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น มันทำให้ เสกสรรค์ ได้ ‘สมาธิ’ โดยไม่รู้ตัว
จากการทำ สิ่งนี้ (การเจริญสติอยู่ในปัจจุบันขณะ) เพื่อหาทางดับทุกข์ด้วยตัวเองของ เสกสรรค์ โดยไม่มีทฤษฎีอะไรชี้นำมาก่อน แต่ต้องทำเพราะเห็นแล้วว่า มันช่วยให้อยู่รอดในช่วงที่เขาอาจจะอยู่ไม่รอด เสกสรรค์ก็เลยยึดการทำสิ่งนี้เป็นแนวทาง พอเขาไม่ยึด ไม่คิดว่าตัวเองเป็นใครมาก่อน เขารู้สึกได้ทันทีเดี๋ยวนั้นเลยว่า ความทุกข์ร้อนมันหายไปมาก
ในห้วงยามนั้น เสกสรรค์ ไม่เดือดร้อนอีกต่อไปแล้วว่าสังคมหรือคนอื่นจะมองตัวเขาอย่างไร และเขาก็ไม่มีความเห็นว่าโลกและชีวิตควรเป็นอย่างไร เขาจึงไม่มีข้อเรียกร้องต่อตัวเองและผู้อื่น เขาจึงไม่มีสิ่งที่ผิดหวัง และไม่มีสิ่งที่เสียใจอีกต่อไป
พอ เสกสรรค์ ทำเช่นนี้ไปมากขึ้นอยู่พักใหญ่ ก็เกิด การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ขึ้นกับตัวเขาโดยไม่คาดฝัน คือเช้าวันหนึ่ง เขาตื่นขึ้นมาราวกับ ‘เกิดใหม่’ เขารู้สึกมีความสุขสงบอย่างไม่มีเหตุผล เสกสรรค์ รู้แต่เพียงว่าความสุขสงบนี้มันผุดขึ้นมาจากข้างใน มันอยู่ในตัวของเขา มันเป็นความปลื้มปีติอะไรบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย เรื่องราวทุกข์โศกของเขาที่เคยมีมาดูเหมือนจะหายไปหมดเลย
* * *
...ต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549
เช้าวันนี้ เสกสรรค์ ออกไปยืนที่หน้าบ้าน สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไป ร่างของเขาอาบแสงอาทิตย์สีทองอ่อนๆ สะท้อนประกายแวววาว ความรู้สึก ความคิดต่างๆ อันปรีดาปราโมทย์ และอ่อนโยนผุดออกมาจากจิตใจของเขาไม่ขาดสาย
เขารำลึกถึง หญิงสาว ที่เคยเป็นคู่ชีวิตของเขา
“แม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว แต่พี่จะยังคงรักเธอตราบจนชีพวาย รักอย่างไม่มีเงื่อนไข รักอย่างไม่คิดครอบครอง”
เขารำลึกถึง บุตรชายทั้งสอง ของเขา
“ลูกรัก พ่อรักลูกมากเหลือเกิน รักเกินกว่าคำบรรยายใดๆ พ่อเชื่อมั่นว่า ลูกจะเดินอยู่บนวิถีของลูกด้วยตัวของลูกเองได้อย่างสง่างาม โดยพ่อเป็นกำลังใจให้ลูกอยู่เสมอ”
เขารำลึกถึง เพื่อนรักทั้งหลายของเขา ที่จากโลกนี้ไปแล้ว และที่ยังมีชีวิตอยู่ “เพื่อนรัก มิตรภาพของเราไม่เคยตาย และไม่เคยเสื่อมถอยลงไปเพราะกาลเวลา”
เสกสรรค์ ขยาย ‘ความรัก’ ของเขาแผ่กว้างออกไปอีก ไปสู่ผู้คนที่เขารู้จักและไม่รู้จัก ไปสู่ต้นไม้ จิ้งจก นก กระรอกที่อยู่ในบริเวณที่พักอาศัยของเขา ณ ห้วงยามนั้น เสกสรรค์ ได้กลายเป็น อวตารของความรัก โดยสมบูรณ์
ในความเบิกบานจากข้างในนี้ เสกสรรค์ เลิกรู้สึกพ่ายแพ้ขมขื่นกับชีวิตโดยสิ้นเชิง นี่เป็นอีกครั้งที่ เสกสรรค์ สามารถมองอดีตของตัวเองได้ทุกเรื่องด้วยความรู้สึกนิ่งเฉย มิหนำซ้ำเขาไม่สามารถกลับไปมองโลกแบบเดิมได้อีกต่อไป
ในอดีต วิถีของเขา เป็นการ แสวงหาตัวตนขั้นสูง แต่มันก็ยังเป็นตัวตน เป็นอัตตาที่ยังยึดตัวตนเป็นศูนย์กลางในการประกาศความคิดของตน และมุ่งกระทำตามความคิดของตน แม้จะเป็นความคิดเชิงอุดมคติที่ถูกต้อง สูงส่งและเพื่อผู้อื่นก็ตาม แต่มันก็ยังผูกติดอยู่กับการดำรงอยู่แบบตัวกู-ของกูอยู่ดี แม้จะเป็นกิเลสตัณหาขั้นสูงเพื่อ "ความดี" ก็ตาม
บัดนี้ เสกสรรค์ ได้ ‘ก้าวพ้น’ ความยึดติดในเรื่องวีรกรรมไปแล้ว เพดานความคิดของเขาสูงล้ำไปอีกขั้นหนึ่ง ลึกล้ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม ระดับจิตที่ถูกยกขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งของเขานี้ มันทำให้จิตใจของเสกสรรค์ต่างไปจากเดิมมาก มันทำให้เขาไม่สนใจไปประกาศนามทำคุณงามความดีตามข้อเรียกร้องของใครทั้งสิ้น เขาพอใจอยู่กับความสงบนิ่งภายในแล้วทำสิ่งดีๆ ออกมาตามธรรมชาติของความสงบนิ่งนั้น
บัดนี้ เขาทำดีเพราะรู้สึกดีที่จะทำ เขาไม่ได้ทำเพื่อผู้อื่น เพราะตัวเขาไม่ได้แยกสภาวะออกเป็นตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไป
เสกสรรค์ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ อีกครั้ง เขาตระหนักรู้ได้แล้วว่าทุกข์นั้น ไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้ และทิ้งให้ผู้นั้นจมดิ่งลงไปในความมืดมิดเสมอไป ทุกข์นั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแสงสว่างก็ได้ เหมือนอย่างในกรณีของเขา ที่ทุกข์นั้นเป็นจุดเลี้ยวกลับที่พาตัวเขามาเข้าใจสัจธรรมของชีวิต บัดนี้เขารู้แล้วว่า สิ่งที่ดูเหมือนเลวร้ายในชีวิตของเขา แท้จริงกลับเป็นบทเรียนที่ฟ้าดินมอบให้
เสกสรรค์ เพิ่งรู้สึกจริงๆ เป็นครั้งแรกว่า ชีวิตเป็นความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก และตัวเขากำลังเดินตามรอยศาสดาอย่างแท้จริง โดยที่วิหารนั้นอยู่ในใจเขา เสกสรรค์เริ่ม ‘ตื่นรู้’ และสามารถเชื่อมร้อยตนเองเข้ากับแก่นใจกลางของจักรวาลสามารถเคลื่อนไหวลีลาศไปกับเปลวไฟ และสายน้ำแห่งนิรันดรด้วยอาการสงบนิ่ง
ยามนี้ไม่ว่าเขายืนนั่งที่ใด ที่นั้นพลันกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับตัวเขา คนเราในใจมีสิ่งใด ในโลกก็มีสิ่งนั้น หากคนเราในใจมีโบสถ์วิหาร สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเส้นทางย่อมเรียงรายปรากฏตัว คนผู้นั้นจะพาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ติดตัวไปด้วยทุกหนแห่ง เนื่องเพราะ
ตัวเขาเองคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงมาเยือนเขาโดยไม่ต้องผ่านผู้ใดเลย
นับตั้งแต่ที่ตัว เสกสรรค์ ได้เข้าถึง “ห้วงยามแห่งสัจจะ” นี้แล้ว เขาค้นพบว่า ดวงตะวันสวยกว่าเดิม ไอห้วยเย็นฉ่ำกว่าที่คิด สายน้ำมีถ้อยคำจะเอื้อนเอ่ย ค่ำคืนมีความไพเราะของมัน ปัจจุบันขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ เปิด “ห้วงยามมหัศจรรย์” ให้ตัวเขาได้เชื่อมโยงโดยไม่ผูกมัด ทุกห้วงขณะเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีอะไรซ้ำซากหมุนวน
ที่สำคัญคือการเป็นหนึ่งเดียวกับประสบการณ์ของตนเอง จงผนึกแนบตัวเองเข้ากับ ห้วงยามแห่งสัจจะ มิเพียงเพื่อก้าวออกจากความมืดมนเบื้องหน้า หากเพื่อพุ่งตรงไปสู่ แสงสว่างทางปัญญา ที่อยู่เหนือปัญญาทั้งปวง
และ ณ จุดนั้น อย่าได้อาศัยแสงสว่างที่ปรากฏไปส่องแสดงให้เห็นคำสอนใด หากเป็นหนึ่งเดียวกับเสี้ยวแสงด้วย การเผาสลายความไม่รู้
จงผนึกแนบตัวเองกับสิ่งนี้ มิใช่เพียงเพื่อหลีกลี้จากความร้อนรุ่มของชีวิต หากยังเป็นการค้นหาความสงบที่แผ่คลุมมาจากใจกลางของจักรวาล
และ ณ ที่นั้น อย่าได้อาศัยความเงียบห่อร่างคุ้มกันภัย หากจงกลายเป็นส่วนหนึ่งของความสงบเย็นที่ปลอบประโลมทุกชีวิต
หลังจากที่ เสกสรรค์ ออกจาก สุญตาวิโมกข์ แล้ว เขาเกิดความรู้สึกอยากพบ ‘สุวินัย’ เพื่อนรุ่นน้องที่คบหากันเป็น “พี่น้องทางจิตวิญญาณ” (soul brothers) กันมานานอย่างกะทันหัน เขาตั้งใจว่าบ่ายวันนี้หลังจากเลิกสอนที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว เขาจะเดินไปหา สุวินัย ที่คณะเศรษฐศาสตร์ ซึ่งอยู่ติดกัน
* * *
...หลังจากที่ ‘พี่เสก’ ร่ำลาและออกจากห้องทำงานของ ‘เขา’ ไปแล้วในใจ ‘เขา’ เกิดปีติอย่างท่วมท้น จน ‘เขา’ ต้องปิดไฟปูเบาะนั่งสมาธิ และทรุดตัวลงทำสมาธิเจริญภาวนากับพื้นห้องเดี๋ยวนั้นเลย
นับตั้งแต่ที่ ‘เขา’ เริ่มงานเขียน “พุทธบูรณา” หรือ “พุทธทาสฉบับท่าพระจันทร์” เป็นต้นมา ‘เขา’ ก็นั่งสมาธิบำเพ็ญภาวนาต่อเนื่องทุกวันมิได้ขาด เพื่ออุทิศให้แก่งานเขียนชิ้นนี้อย่างมอบกายถวายชีวิตให้
บ่อยครั้งหลังจากที่ ‘เขา’ ออกจากสมาธิและแผ่เมตตา ‘เขา’ มักน้อมจิตระลึกถึง ‘พี่เสก’ อยู่เสมอ และอวยพรขอให้ ‘พี่เสก’ มีดวงตาเห็นธรรมและเจริญในธรรม มันเป็น ‘ความรัก’ ที่ น้องชายคนหนึ่งทางจิตวิญญาณ มีให้แก่ พี่ชายคนหนึ่งทางจิตวิญญาณ ของเขา...มาวันนี้ ‘เขา’ รู้แล้วว่าคำภาวนาของเขาได้ปรากฏเป็นจริงแล้ว... ‘พี่เสก’ ได้ถอด หมวกแห่งตัวตน ของพี่เขาออกมาอย่างสิ้นเชิงแล้ว