ธรรมบูรณา ภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับบทเรียนการกู้ชาติทางจิตวิญญาณของ ศรี อรพินโธ (ตอนที่ 13)
13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง (ต่อ)
ภายหลังจากที่อาจารย์บูรพา ผดุงไทยและคณะประสบความสำเร็จในการทำพิธีพลังจิตเพื่อส่งเจตนาไปยังมหาจักรวาลที่เขาพนมฉัตรแล้ว ตัวอาจารย์บูรพาและพวกลูกศิษย์ได้มีความเห็นร่วมกันว่า ควรมีสถานที่เพื่อใช้สำหรับฝึกจิต และใช้เป็นสถานที่เชื่อมต่อกับมหาจักรวาลในลักษณะที่เป็นสถานที่ถาวร เพราะที่ที่ไปใช้ที่เขาพนมฉัตรนั้นเป็นที่ของวัด
หลังจากใช้ความพยายามหาสถานที่อันเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมอยู่หลายปี ในที่สุด อาจารย์บูรพาก็ได้พบสถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นบ่อดินลูกรังเก่า มีลักษณะเป็นที่ราบที่ยกตัวสูงจนมีลักษณะเป็นเนินดินกว้าง โอบล้อมด้วยขุนเขาคล้ายกับเป็นปราการตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะมองไปในทิศทางใด ก็จะพบแต่ขุนเขาสูงต่ำโอบล้อมสลับกันอยู่ทั่วไป มิหนำซ้ำสภาพภูเขาแต่ละลูกนั้นยังเป็นผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยหินแร่ต่างๆ อันเป็นชัยภูมิที่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังจากธรรมชาติ
หลังจากที่อาจารย์บูรพาและคณะศิษย์ได้ร่วมกันสร้างที่พัก และสถานปฏิบัติธรรมที่ให้ชื่อว่า “อาศรมบูรพา” ขึ้นที่นี่แล้ว อาจารย์บูรพาก็คิดที่จะสร้าง สัญลักษณ์ของจักรวาล บนพื้นที่โล่งกว้างหน้าที่พักในอาศรม เพื่อทำให้ตรงนั้นเป็นสนามรับพลังงานจากจักรวาล และสามารถสื่อสารไปยังจักรวาลได้
และแล้วเช้าวันหนึ่งเวลาหกโมงเช้า ขณะที่พระอาทิตย์เพิ่งเริ่มขึ้น อาจารย์บูรพากำลังยืนอยู่หน้าที่พักในอาศรมบูรพา แล้วมองไปยังพื้นที่โล่งกว้างตรงหน้า ทันใดนั้นเอง ภาพของ ยันต์จักรามหาจักรวาล ก็ปรากฏขึ้นให้อาจารย์บูรพาเห็นอย่างชัดเจนเป็นเวลาประมาณ 5 วินาที ภาพที่อาจารย์บูรพาเห็นนั้น เป็นรูปดาวหกแฉกซ้อนอยู่ภายในดาวแปดแฉกอีกที โดยมีไฟปรากฏอยู่ตรงกึ่งกลางภาพนั้น
หลังจากที่ได้เห็นนิมิตภาพของยันต์จักรามหาจักรวาลแล้ว อาจารย์บูรพาก็เริ่มดำเนินการสร้าง ยันต์ ขึ้นมาตามภาพที่ได้เห็นในเช้าวันนั้นทันที โดยให้เหล่าช่างขุดพื้นดินลงไปเพื่อวางสายเส้นทองแดงจำนวนมหาศาลอยู่ใต้ดินเป็นรูปยันต์จักรามหาจักรวาล ส่วนตรงกลางยันต์ก็วางแท่งพีระมิดสีดำที่เคยใช้ทำพิธีมาแล้ว จากนั้นก็วางพวกสะเก็ดดาวตกต่างๆ เป็นชั้นๆ ที่ตรงจุดศูนย์กลางชั้นบนสุด จึงได้วางถังสเตนเลสที่มีความหนามาก และทนความร้อนสูง เพื่อที่จะนำมาใช้สำหรับจุดไฟให้ไฟนี้เป็นจุดกึ่งกลางของยันต์
การสร้างเครื่องหมายของจักรวาลเป็นยันต์ขึ้นมานี้ ถือว่าเป็น เงื่อนไขจำเป็น สำหรับการสร้าง “ประตูเวลา” แต่ยังไม่เพียงพอขั้นต่อไปจะต้องทำให้ยันต์นี้มีชีวิตหรือมีพลังขึ้นมา เพื่อจะได้เป็นประตูเวลาที่สามารถติดต่อสื่อสารกับมหาจักรวาลได้ ซึ่งจะทำได้ก็ต้องใช้สมาธิของผู้มีพลังจิตอย่างน้อย 108 คนขึ้นไป เพื่อให้เกิด “สะพานแห่งดวงจิต” อย่างที่คณะของอาจารย์บูรพาเคยทำได้มาแล้วที่เขาพนมฉัตรเมื่อหลายปีก่อน
ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “ประตูเวลา” ที่อาจารย์บูรพาได้รับจากสมาธินี้จะทำให้ความรู้ความเข้าใจหรือทัศนคติต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์บนโลกนี้เปลี่ยนแปลงไป จากความเชื่อแบบ วัตถุนิยมเดิมๆ ที่เชื่อกันว่า โลกนี้มีเพียงมิติเดียวหรือระนาบเดียว คือโลกวัตถุหรือจักรวาลวัตถุ ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว โลกและจักรวาลมีหลายมิติที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ เนื่องจากโลกและจักรวาลมีการเคลื่อนที่เป็นวงกลม
มนุษย์ไม่ได้ตายแล้วสูญอย่างที่พวกวัตถุนิยมคิด มนุษย์ยังคงวนเวียนอยู่ในมิติต่างๆ อันเป็นมิติที่รองรับดวงจิตวิญญาณ และเป็นมิติที่รองรับการเกิด ดวงจิตวิญญาณของมนุษย์ปุถุชนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใต้โลกทั้งสาม หรือสามโลกที่เวลาแตกต่างกันและมิติแตกต่างกัน จึงหาทางออกไม่ได้เรียกว่าอยู่ใน วัฏฏสงสาร
แต่ความรู้เรื่องประตูเวลา เรื่องมิติเวลา และมิติความถี่จะทำให้วิธีคิด และเป้าหมายการมีชีวิตอยู่ของผู้ที่ได้รับรู้เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้นั้นจะสามารถถอดถอนตนเองออกจากอุปทาน อวิชชา ความยึดมั่นถือมั่นทางด้านวัตถุ มีปัญญาญาณในสิ่งที่เป็นนามธรรม สามารถรู้เห็นตามสภาพเป็นจริงที่เป็นอยู่โดยไม่ตกอยู่ใต้การครอบงำของความรู้เดิมแบบวัตถุนิยมที่เป็นภาพลวงตาอีกต่อไป
* * *
...เย็นวันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2549 ณ อาศรมบูรพา ป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เขา ตระหนักได้อีกครั้งระหว่างที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนลานยันต์จักรามหาจักรวาลว่า ความปรารถนาที่จะช่วยสนธิของตัวเขาด้วยปฏิบัติการทางจิตได้ทำให้วิถีชีวิตของเขากลับมาบรรจบกับวิถีของอาจารย์บูรพาอีกครั้ง
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีพลังจิตเพื่อยับยั้ง “ภัยพิบัติถล่มโลก” เมื่อหลายปีก่อน เขา มีเหตุให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “อาจารย์กู้” โดยบังเอิญ และนำ เขา ไปสู่ ชะตากรรมที่ต้องได้รับการเย้ยหยันจากผู้คนทั้งแผ่นดิน ทำให้ เขา ผ่านประสบการณ์แบบตายทั้งเป็น จากสังคมนี้
เหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นจุดผกผันครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิตของ เขา เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นใน การถอนตัวจากตนเอง ของตัวเขา นี่คือกลยุทธ์ที่ ฟ้า มอบให้แก่เขา ด้วยการทำให้ เขา ไม่มีอะไร ไม่มีใคร และไม่มีแม้กระทั่งตัวตนเสียก่อน เพื่อที่จะได้มอบ ทุกอย่าง ให้แก่เขาในภายหลัง
เขา ปล่อยวางได้แล้ว เขา จึงได้ความสงบทางจิตวิญญาณ และมีอิสระเสรีภาพในการเคลื่อนไหว อิสระเสรีภาพที่ เขา ได้มานี้ เขา แลกมันด้วย “ความตาย” ของ ตัวตนเก่า ของ เขา บัดนี้ เขา เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง และอยู่อย่างเปี่ยมไปด้วยเจตนารมณ์เสรี
หลังจากที่ เขา ออกจากสมาธิ อาจารย์บูรพาได้บอกกับ เขา อย่างมีเมตตาว่า “เรื่องของการต่อสู้ทางการเมือง มันเป็นแค่ฉากๆ หนึ่งบนเวที แล้วมันก็จะผ่านเลยไป แต่ ภัยพิบัติจากธรรมชาติอันเนื่องมาจากการกระทำของพลังงานในจักรวาลต่างหากที่น่าห่วงกว่า และมันจะมาอีกครั้งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ด็อกเตอร์จะมาช่วยอาจารย์อีกมั้ยล่ะ”
ก่อนหน้านั้น เขา ตั้งใจว่าจะขอให้อาจารย์บูรพาทำพิธีใช้พลังจิตดับเทียนดวงชะตาของอริราชศัตรู โดย เขา ยินดีรับกรรมที่ก่อขึ้น แต่อาจารย์บูรพาไม่เห็นด้วย ท่านบอกว่า มันเสี่ยงเกินไป ท่านเสนอว่า เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย คืนนี้เวลาหนึ่งทุ่ม อาจารย์จะทำพิธีพลังจิตเสี่ยงเทียนวัดดวงชะตาระหว่าง สนธิ กับ ทักษิณ โดยให้ฟ้าดินเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน
แต่ครั้นพอถึงเวลาหนึ่งทุ่ม พิธีนั้นก็ไม่อาจทำได้เพราะขบวนนักพลังจิตอีกชุดหนึ่งที่กำลังเดินทางมาเผชิญกับพายุฝนหนัก ต้นไม้ใหญ่ถูกพัดโค่นขวางถนนเป็นระยะๆ ทำให้ล่าช้ากว่าจะมาถึงอาศรมบูรพาได้เวลาก็ล่วงไปกว่าสามทุ่มแล้ว อาจารย์บูรพาบอกกับ เขา ว่า คืนนี้ไม่เหมาะจะทำพิธีแล้ว อีกฝ่ายยังมี พลังมืด ที่แข็งกล้านัก
เมื่อไม่อาจทำพิธีพลังจิตตามที่ตั้งใจไว้ได้ ในเวลาสี่ทุ่ม เขา จึงตัดสินใจเขียนคำอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ช่วยคุ้มครอง สนธิ และแกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นทุกคนลงบนผ้าขาว จากนั้นก็นำคำอธิษฐานนี้ไปเผาบนเตาเหล็กที่ตั้งอยู่กึ่งกลางยันต์จักรามหาจักรวาล
ไฟที่เกิดจากการประกอบพิธีบูชาเทพย่อมเป็นไฟที่ศักดิ์สิทธิ์และมีปาฏิหาริย์ได้ ขณะที่ เขา กำลังนั่งขัดสมาธิขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่นั้น เปลวไฟจากเตาเหล็กก็ได้ก่อตัวเป็นรูปร่างต่างๆ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมา
คำอธิษฐานที่ เขา ส่งไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะส่งไปถึงคุรุทางจิตวิญญาณที่ไม่มีตัวตนของเขานี้ เขา ไม่ได้ขอเพื่อตัวเขาเอง แต่ เขา ขอในทางธรรม และเพื่อพิทักษ์ธรรมของส่วนรวม
เขา นั่งสมาธิจิตรวมลงสู่ฐานสมาธิแล้ว จึงอธิษฐานจิตรวบรวมพลังต่างๆ ในจักรวาล อีกทั้งบารมีของทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกให้มารวมกันที่ใจเขา จากนั้นจึงได้อธิษฐานจิตส่งพลังพุ่งไปยังกองไฟ ด้วยความเชื่อมั่นว่า แก่นแท้ของอำนาจในธรรมชาติคือจิต มิใช่เงินทองหรืออาวุธสงคราม ดังนั้น การบูชาไฟด้วยจิตบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ย่อมสื่อไปถึงโลกทิพย์อีกมิติหนึ่งอย่างแน่นอน
* * *
หลังจากนั้นไม่นาน เขา ได้มีโอกาสแวะไปที่อนุสาวรีย์เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งเขานับถือเป็นคุรุทางจิตวิญญาณที่ไม่มีตัวตนของเขา เมื่อเขาลองเสี่ยงเซียมซีเพื่อขอรับ "ข่าวสาร" จากคุรุเทพของเขา ปรากฏว่า ใบทำนายนั้น เขียนไว้ด้วยคำขึ้นต้นว่า
“ข้าจะให้ตามที่เจ้าขอ”
เมื่อได้รับข่าวสารเช่นนั้น เขา จึงไม่ลังเลใจที่จะอธิษฐานจิตตอบท่านไปในบัดดลนั้นเลยว่า
“สิ่งที่ลูกจะขอต่อไปนี้ ลูกมิได้ขอให้กับตัวเอง แต่ลูกขอให้กับแผ่นดิน และเพื่อแผ่นดิน...ลูกขอให้ระบอบทักษิณจงล่มสลายด้วยเถิด!”