จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง (26)
26. ความจริงจากความเชื่อกับการวิพากษ์ระบอบทักษิณ
ในทางปฏิบัติ คนเราสามารถแยกแยะความเป็นจริงออกเป็น 3 แบบใหญ่ๆ ได้คือ
(1) ความจริงจากประสบการณ์ ที่เกิดจากการรับรู้เชิงประสบการณ์หรือเชิงผัสสะของเรา ซึ่งก็มีขอบเขตที่จำกัดเพราะประสบการณ์อาจหลอกเราได้ และประสบการณ์ของตัวเราอาจมีไม่มากพอที่จะพัฒนาการรับรู้
(2) ความจริงจากเกมที่เล่น เป็นความจริงเชิงสมมติที่เกิดจากกฎกติกาที่บัญญัติไว้ให้เป็น "ความจริง" สำหรับการเล่นเกมความจริงทางการเมือง ความจริงทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ล้วนเป็น ความจริงจากเกมที่เล่น ประเภทนี้แทบทั้งสิ้น
(3) ความจริงจากความเชื่อ เป็นความจริงที่ทรงพลังที่สุด เพราะมันเป็นอย่างเดียวที่สามารถเข้าไปอยู่ในจิตใจของเรา และทำงานจากข้างในได้ โดยที่ความจริงที่เกิดจากความเชื่อคือ สิ่งที่เราเชื่อ ซึ่งมันอาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นจริง หรือไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงก็ได้
จะว่าไปแล้ว ความจริงที่เกิดจากความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะมาเป็นตัวกำหนดโครงสร้างชีวิตของคนเรา ทำให้เกิดคุณค่าและกำหนดการตัดสินใจและการกระทำของคนเรา
ความจริงจากความเชื่อมี คุณค่าในทางปฏิบัติการ อย่างไร? เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นักกลยุทธ์ทุกคนรู้ดี
ความจริงจากความเชื่อ ย่อมกลายเป็น "ป้าย" ที่สามารถนำไปติดได้ง่ายด้วยการตัดสินพิพากษา ซึ่งนำไปสู่การยอมรับ หรือปฏิเสธและยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อพฤติกรรมการคิดของผู้คน เกิดเป็นกรอบความคิดที่แน่นอน แข็งทื่อ ตายตัว และนำไปสู่การยอมรับอย่างถาวรโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ ความจริงจากความเชื่อ จึงสามารถกลายเป็นธงที่เรียกร้องผู้คนให้มาชุมนุมกันอย่างได้ผล ความจริงจากความเชื่อยังสามารถกลายเป็นอาวุธที่ใช้โจมตีผู้อื่นได้ด้วย
เนื่องจากคนทั่วไปยังไม่เข้าใจว่า วิธีการมองโลกที่พวกเขาใช้อยู่นั้น มีจำนวนไม่น้อยที่เกิดขึ้นอย่างจอมปลอม ถูกครอบงำ ถูกจูงจมูก ถูกหลอกมาโดยตลอด นอกจากนี้ คนทั่วไปยังขาดความเชื่อมั่น ความมั่นใจในการรังสรรค์พัฒนาวิธีการคิดของตนให้มีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองอย่างพลวัตอยู่ตลอดเวลา คนทั่วไปจึงมีแนวโน้มที่จะพลัดตกลงไปใน หลุมพรางของความจริงจากความเชื่อของคนอื่น
เนื่องจาก ความเชื่อเป็นความจริงในโลกภายใน และเป็นสิ่งที่มีพลังมากที่สุดของพฤติกรรมในโลกภายใน พลังสูงสุดของความเชื่อจะเห็นได้จากการรับรู้ของคนเรา ซึ่งบังคับคนเราให้มองโลกตามแบบที่การรับรู้นั้นได้บังคับให้คนเราเชื่อ
นักกลยุทธ์ทุกคนจึงรู้ดีว่า ความเชื่อเป็นสมรภูมิทางการเมือง ความคิด วัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้เรื่อง "ความจริง" กล่าวในความหมายนี้ ความจริงจากความเชื่อสำคัญยิ่งกว่าความจริงจากเกมที่เล่นเสียอีก เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดผลแพ้ชนะทางยุทธศาสตร์ในสงครามการเมืองและสงครามความคิด
เพราะฉะนั้น เมื่อเราจะวิพากษ์ "พิษทักษิณ" ในเรื่อง เงิน เราจึงต้องวิพากษ์ให้แตกหักเสียก่อนว่า คนทั่วไปมีความเชื่อผิดๆ ในเรื่องเงินอะไรบ้าง ดังต่อไปนี้
(1) ความเชื่อผิดๆ ว่า "เงินช่วยทำให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย" การมองว่า เงินช่วยให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย และเป็นกันชนระหว่างตัวตนที่เปราะบางอ่อนแอของเรากับโลกที่โหดร้ายเย็นชาและไม่มีอะไรแน่นอน เป็นมุมมองที่ผู้คน เชื่อ กันมากที่สุด ที่เป็นเช่นนี้ เพราะผู้คนยังมีความกลัวต่อชีวิตอยู่เท่านั้น สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่อย่างปราศจากความกลัวต่อชีวิตแล้ว ความเชื่อข้างต้นเป็นแค่ความเชื่ออย่างผิดๆ ชนิดหนึ่งเท่านั้น
(2) ความเชื่อผิดๆ ว่า "เงินคืออำนาจ" สำหรับคนที่เชื่อว่า หนทางสู่อำนาจโรยด้วยเงินตราเท่านั้น ย่อมยากที่จะเข้าใจและเข้าถึง อำนาจที่เกิดจากธรรมบารมีของอริยบุคคล ซึ่งเป็น อำนาจแห่งจิตวิญญาณ เพราะ สำหรับบุคคลประเภทนี้ เงินจะไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไรเมื่อเทียบกับจิตใจอันแข็งแกร่ง และจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของท่าน ต่อให้ท่านใช้ชีวิตในระดับที่ยากไร้ทางวัตถุ แต่เปี่ยมไปด้วยสุขภาวะ และมีอิทธิพลต่อคนรอบข้าง และคนอื่นอย่างมหาศาลก็ตาม
(3) ความเชื่อผิดๆ ว่า "การขยายตัวทางเศรษฐกิจยิ่งมากยิ่งดี" ซึ่งทำให้เกิดอคติทางเศรษฐกิจที่แก้ไขได้ยาก ทำให้คนเราเกิดอวิชชาหันไปวัดคุณค่าความสำคัญของตัวเองกับคนอื่นด้วยบรรทัดฐานทางวัตถุ เช่น ตัวเลขเงินเดือน ความใหญ่โตของบ้าน หลักทรัพย์ที่ถือครอง ทำให้คนเราคอย "เปรียบเทียบ" อยู่เสมออันเป็นที่มาแห่งทุกข์ โดยความรู้สึกดีกว่าหรือด้อยกว่าคนอื่นของเราต้องวัดด้วยบรรทัดฐานที่ตัวเราเองก็ไม่รู้เท่าทันมัน
(4) ความเชื่อผิดๆ ว่า "เงินทำให้ผู้คนยอมรับนับถือ" การหลงเชื่ออย่างผิดๆ ว่า เงินสามารถซื้อความยอมรับนับถือได้เป็นตัวสร้าง "กิเลส" หรือความอยากความปรารถนาที่รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผนวกกับอิทธิพลของโฆษณาและวัฒนธรรมแบบบริโภคนิยมที่เป็นกระแสหลัก มันจึงไปกระตุ้นความอยากของคนเราอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับบั่นทอนทำลายความเชื่อมั่นในตนเองของคนเราที่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และภูมิใจในความสมถะนั้น
การเป็นอิสระจากความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องเงินดังข้างต้น จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเข้าถึงความจริงจากความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเงินที่ถูกต้องกว่า และบูรณาการยิ่งกว่าเพื่อเข้าถึง อิสรภาพทางการเงิน ได้อย่างแท้จริง
เพราะ อิสรภาพทางการเงิน มิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับความร่ำรวยเลย อิสรภาพทางการเงินเป็นเรื่องของสภาวะจิต และเป็นสภาพของความรู้จัก "พอเพียง" ต่างหาก
การเป็นอิสระจากเงินและ "พิษทักษิณ" จึงแทบกลายเป็นเรื่องเดียวกันในยุคปัจจุบัน คือมันเรียกร้องสภาวะที่เป็นอิสระในระดับจิตใจ และความรู้จักพอเพียงของคนผู้นั้น ซึ่งหากคนผู้นั้นสามารถทำได้ เขาย่อมสามารถหลุดพ้นจากการเป็น ทาสเงิน และจากความเชื่อผิดทางการเงินทั้งหลายที่เคยหลงเชื่อ เคยยึดถือ รวมทั้งสามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการทางความคิดในเชิงลบทั้งหลาย เช่น ความรู้สึกผิด ความไม่พอใจ ความอิจฉา ความผิดหวัง ฯลฯ ได้ด้วย
เขาจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้สึกสับสนในเรื่องเงินอีกต่อไป และไม่วิตกกังวลในเรื่องเงินอีกต่อไป เขาจะไม่หมดเปลืองเงินและพลังชีวิตของเขาไปกับการซื้อของที่ไม่ต้องการ หรือไม่จำเป็นอีกต่อไป นอกจากนี้ ตัวเขาย่อมปลอดภัยจากความเย้ายวนของห้างสรรพสินค้า ตลาด และสารพันสื่อโฆษณา
สภาพอารมณ์ของเขาจะไม่ขึ้นลงไปกับความเป็นไปทางเศรษฐกิจ จิตใจของเขาจะไม่แกว่งไปตามดัชนีตลาดหุ้นอีกต่อไป เพราะบัดนี้ตัวเขาสามารถตระหนักได้อย่างถ่องแท้แล้วว่า หัวใจของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น อยู่ที่ระดับจิตและสภาวะจิตของคนเรานี่เอง
ความจริงจากความเชื่อในเรื่องเงินที่ถูกต้อง และการวิพากษ์ระบอบทักษิณ จึงต้องบูรณาการเข้ากับการมีวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง และการยกระดับจิตอย่างบูรณาการ
ต่อให้ในปัจจุบันระบอบทักษิณยังเป็นผู้เหนือกว่าในปริมณฑล "ความจริงจากเกมที่เล่น" โดยเฉพาะเกมการเมือง และธนกิจการเมืองที่ผูกขาด กินรวบและเล่นพวกก็ตาม แต่เมื่อใดก็ตามที่ "ความจริงจากความเชื่อ ได้พลิกผันจนทำให้ระบอบทักษิณขาดความน่าเชื่อถือลงไปมากอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะจากสายตาของชนชั้นกลาง และผู้มีการศึกษาทั้งหลายที่ติดตามความเป็นไปของบ้านเมืองอย่างมีสติปัญญา ก็เป็นที่คาดการณ์ได้ว่า ความเสื่อมทรุดของระบอบทักษิณได้เกิดขึ้นแล้ว และรอวันล่มสลายเท่านั้น