ทำไมอภิสิทธิ์จึงเลือกเผชิญหน้ากับประชาชน?
 
รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง
รศ.ดร.สุวินัย  ภรณวลัย
โอ ท่านกลับกลายเป็นวิญญูชนจอมปลอมไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  เสียทีที่ท่านเคยเป็น “ความหวัง” ของพวกเรามาโดยตลอด
ท่านเปลี่ยนไปแล้ว!  ท่านเปลี่ยนไปอย่างมากมายจริงๆ หลังจากที่ท่านได้เถลิงตำแหน่ง “เจ้ายุทธจักร” นี้  เพราะท่านยอมทำ “ทุกอย่าง”เพื่อให้ได้มา
บทความต่อเนื่องขนาดยาว  “ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อไทย” ยังมีอยู่  แต่ต้องเขียนเรื่องนี้ก่อนเพื่อให้รู้ว่าอภิสิทธิ์ได้กลายร่างเป็น “มาร์ค” ปุ๊กคุ้ง  ผู้คล้ายดั่งเป็น “วิญญูชนจอมปลอม” เหมือน งักปุ๊กคุ้ง จากเรื่อง  กระบี่เย้ยยุทธจักร  หรือไม่
ประเด็นที่เป็นเงื่อนไขของการเผชิญหน้ากับประชาชนของอภิสิทธิ์ก็คือ  การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 ใน 2 ประเด็นคือ (1) แก้ไขมาตรา 190  และ (2) วิธีการเลือกตั้ง เมื่อรวมกับร่างแก้ไขฯ ที่ได้เสนอมาก่อนหน้านี้แล้วคือ  ร่างฯ ของหมอเหวง และร่างฯ ของพรรคภูมิใจไทย  จึงทำให้วาระการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้มี 4 ร่างฯ  ที่จะนำมาพิจารณา
ร่างฯ ของหมอเหวงเป็นร่างฯ แรกๆ ที่ได้เสนอเข้ามา  โดยมีสาระสำคัญคือนำเอารัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540  ทั้งฉบับมาเป็นร่างเพื่อใช้แทนฉบับปัจจุบัน  โดยมีส่วนแตกต่างอยู่ที่การไม่รับรองความมีอยู่ขององคมนตรี  ซึ่งเป็นการลิดรอนอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนเพราะรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ทุกฉบับก็รับรองความมีอยู่ขององคมนตรีและถือเป็นพระราชอำนาจในการแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย  นี่จึงเป็นการนับหนึ่งในการล้มล้างสถาบัน  เพราะหากไม่มีองคมนตรีเป็นผู้กลั่นกรองทำงานแทนแล้วจะให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้กระทำโดยตรงเลยหรืออย่างไร?
การเสนอร่างฯ  ของหมอเหวงจึงเป็นไปอย่างมีวาระซ่อนเร้น  แทนที่จะเสนอโดยส.ส.พรรคพลังประชาชนในสมัยนั้น  กลับไปล่ารายชื่อประชาชนมาเสนอแทนทั้งๆ  ที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับการเสนอกฎหมายโดยตรงจากประชาชน ด้วยเกรงว่าการกระทำของ  ส.ส.อาจจะไปขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ที่ ส.ส. หรือ ส.ว.  ต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย  โดยปราศจากการขัดกันของผลประโยชน์  เพราะการแก้ไขมิได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยเอาของใหม่มาทดแทนดังเช่นที่หมอเหวงได้เสนอร่างฯ  นี้เข้ามา
ในส่วนร่างฯ  ของพรรคภูมิใจไทยนั้นก็เป็นการเสนอแก้ไขเพื่อที่จะให้มีการนิรโทษกรรมกับบุคคลอื่นๆ  ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาที่ไม่รวมผู้ที่ต้องคดีอาญา  เช่น ทักษิณ ชินวัตร โดยมีวาระซ่อนเร้นเพื่อทำให้ผู้ที่ถูกชี้มูลโดย  ป.ป.ช.ในการเข่นฆ่าประชาชนเมื่อ 7 ต.ค. 51  ให้พ้นผิดไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวมถึงการแก้ไขใน 2  ประเด็นที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เสนอในคราวนี้ก็มีรวมอยู่ด้วย ดังนั้นทั้ง 2  ร่างจึงมีส่วนซ้ำซ้อนกับร่างฯ ของหมอเหวง และร่างฯ ของพรรคภูมิใจไทย  เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540  ก็ใช้เขตเล็กเช่นเดียวกัน
ท่านกลับกลอกเพราะพรรคท่านมีมติไปครั้งหนึ่งแล้วว่าไม่รับร่างฯ  พรรคภูมิใจไทยที่รวมถึงการแก้ไขใน 2 ประเด็นที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เสนอในคราวนี้  แต่ก็ยังดั้นด้นให้มีมติอีกครั้งในเรื่องเดิม  คนที่เป็นวิญญูชนทั้งในและนอกพรรคท่านจะรับการกระทำของ“มาร์ค” ปุ๊กคุ้ง  เยี่ยงนี้ได้อย่างไร?
ที่น่าสนใจก็คือมาตรา 190  ที่ขอเสนอแก้อันเนื่องมาจากข้ออ้างของความไม่สะดวกในการไปทำข้อตกลงน้อยใหญ่กับต่างประเทศของฝ่ายบริหารเพราะต้องมาขออนุมัติจากสภาฯ  ทำให้เกิดความล่าช้าไม่ทันกาล
พลเมืองเข้มแข็งควรรับรู้ไว้ว่า ในวรรค 5  ได้กำหนดให้ต้องมีการออกกฎหมายกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญา  หรือกล่าวอย่างง่ายๆ  ว่าต้องมีกฎหมายลูกกำหนดว่าหนังสือสัญญากับต่างชาติประเภทใดบ้างที่ต้องนำเข้ามาขออนุญาตจากรัฐสภาฯ  เพียงแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้ให้ความสนใจในกฎหมายดังกล่าวปล่อยให้ถูกตีตกไปแล้วย้อนกลับมาแก้ไขที่ตัวแม่คือที่รัฐธรรมนูญมาตรา  190  นี้แทนทั้งที่ควรทำเป็นกฎหมายลูกเสนอเข้ามาใหม่
ข้ออ้างของความล่าช้าจึงอยู่ที่ฝ่ายบริหารพยายามที่จะเสนอข้อตกลงทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่เข้ามาให้สภาฯ  พิจารณารับรองเพื่อให้ดูว่ามาตราดังกล่าวเป็นอุปสรรคในการทำงานโดยไม่สนใจเจตนารมณ์ของมาตรา  190 วรรค 2 ที่กำหนดเงื่อนไขว่าอะไรที่ต้องนำเข้าสภาฯ มารับรอง  มิใช่ตีความแบบศรีธนญชัย หากไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในมาตรา 190  นี้ประชาชนไทยจะรู้ไหมว่ารัฐบาลของเขากำลังจะทำให้สุ่มเสี่ยงเสียดินแดนจากบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกัมพูชาฯ  ปีพ.ศ. 2543
หากพิจารณาดูจากที่มาที่ไปที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่า  ร่างฯ หมอเหวงและร่างฯ  ของพรรคภูมิใจไทยต่างก็มิได้รับการเหลียวแลนำเข้ามาพิจารณาแต่อย่างใดจากรัฐบาลชุดนี้  มิเช่นนั้นคงไม่ค้างเติ่งมาเป็นเวลานาน
การนำเสนอร่างฯ  ของตนเองเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในห้วงเวลานี้จึงห้ามไม่ได้ที่จะถูกกล่าวหาว่ามีวาระซ่อนเร้น  เพราะกฎหมายใดที่ฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นด้วยก็ยากที่จะผ่านสภาฯ ไปได้  แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นผู้เสนอและบอกว่าเป็นเรื่องของส.ส.ในสภาฯ  หรือเป็นเรื่องของรัฐสภาฯ รัฐบาลไม่เกี่ยว  แต่หากรัฐบาลไม่ออกเสียงแล้วจะเอามือใครมายกให้ผ่าน  การไม่ตีตกตั้งแต่ต้นมือและรวบรวมนำมาเสนอในคราวเดียวกันก็เพื่อหวังผลทางการเมืองมิใช่หรือ  ที่สำคัญร่างฯ ทั้ง 2 ของอภิสิทธิ์หากผ่านสภาฯ ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา  ยกเว้นแต่เพียงทำตามสัญญาที่ “มาร์ค” ปุ๊กคุ้ง  ขายวิญญาณให้ไว้กับพรรคร่วมจนทำให้ตนเองได้เป็นนายกฯ สมใจหวัง  หากทำได้แค่นี้ท่านก็คล้ายดั่งเป็น “วิญญูชนจอมปลอม”  อย่างแท้จริง
อภิสิทธิ์ได้อาศัยอำนาจนายกฯ แต่งตั้งคณะกรรมการ 4  คณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะฯ ของหมอประเวศและคณะฯ  ของคุณอานันท์เพื่อทำข้อเสนอการปฏิรูปประเทศอันเป็นโจทย์ที่ใหญ่กว่าเมื่อเปรียบเทียบกับงานของคณะฯ  คุณสมบัติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกรอบที่นายกฯ กำหนดเพียง 6 ประเด็น  เปรียบเสมือนยังไม่ได้แบบบ้านเลยแต่กลับอุตริให้กำหนดแล้วว่าจะใช้กระเบื้องห้องน้ำห้องส้วมชนิดใดเป็นการล่วงหน้า  จะรู้ได้อย่างไรว่าประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2  ประเด็นจะสอดคล้องกับการปฏิรูปประเทศที่จะเสนอ 
หากอภิสิทธิ์จะอ้างว่า  หากไม่นำข้อเสนอของคุณสมบัติมาใช้จะไม่เป็นการเคารพเพราะได้ไหว้วานเขาไปทำงานมาให้แล้ว  อภิสิทธิ์ควรจะมีข้ออ้างที่ดีกว่านี้ อย่าอ้างข้างๆคูๆ  เพราะท่านมาทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งมวลเป็นสำคัญมิใช่เพื่อการเคารพหรือตอบแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ
เหตุผลที่แท้จริงจึงน่าจะอยู่ที่ความสุ่มเสี่ยงในการเสียดินแดนด้วยบันทึกความเข้าใจฯ  ปีพ.ศ. 2543 มากกว่าอย่างอื่น  เพราะเป็นระเบิดเวลาที่ท่านไม่ยอมถอดชนวนหากแต่ตั้งใจปล่อยให้ระเบิดตามบุญตามกรรมในอนาคต  ยอมเลือกที่จะเผชิญหน้ากับประชาชนอันเนื่องมาจากการถือเอาอัตตาของตนเองเป็นใหญ่  และอย่าลืมว่าเป็นข้อตกลงฯ ต้องตามมาตรา 190  ที่เสนอแก้ด้วยเช่นกันจะผ่าทางตันด้วยวิธีนี้หรือ
หากลิ่วล้ออภิสิทธิ์ทั้งหลายจะออกมาแก้ต่างว่าเป็นจินตนาการ  ก็ขอบอกว่าระหว่างเรื่องนี้กับการหาว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบางคนออกบัตรเชิญให้ทหารมาปฏิวัติ  เรื่องใดจินตนาการได้ห่วยกว่ากัน ชิมิ!
รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550  พิเศษกว่าฉบับอื่นๆ ก็เพราะได้รับการรับรองจากประชาชนโดยตรง  และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่มีคนยอมตายเพื่อปกป้อง  มิใช่เฉพาะเรียกร้องเพื่อให้ได้มาเหมือนดังเช่นฉบับ 14 ต.ค.  ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีประการใดก็ควรได้รับการเคารพด้วยการขอประชามติเพื่อดำเนินการแก้ไข  อย่าหาว่าลำเลิกบุญคุณเลย  หากไม่ปกป้องเอาไว้ป่านนี้ท่านและพรรคของท่านจะมีที่ยืนมากน้อยเท่าใดในสภาฯ  เรื่องพวกนี้พวกท่านไม่มีน้ำยาหรอก
การทำประชามติจึงเป็นการให้ประชาชนตัดสินใจในเรื่องสำคัญเช่นนี้โดยตรง  มีประโยชน์มากกว่าเงินหรือเวลาที่ได้ใช้จ่ายเพื่อทำประชามติและไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน  เพราะการจะให้ประชาชนออกเสียงรับหรือไม่รับในเรื่องใดก็ต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ที่จะมาออกเสียงเสียก่อน  ทำไมเมื่อท่านอ้างว่าฝักใฝ่ในระบอบประชาธิปไตยเป็นแม่นมั่น  ทำไมจึงไม่ริเริ่มทำเรื่องที่มีประโยชน์เช่นนี้ในเมื่อมีโอกาส  จะมีประชาชนสักกี่คนรู้เรื่องรัฐธรรมนูญในรายละเอียดเช่นนี้บ้าง  การทำประชามติจึงเป็นทางออกและเป็นการสร้างความปรองดองในสังคมอย่างแท้จริง
ข้ออ้างของการลงประชามติว่าต้องใช้เวลานานก็ดี  มีประชามติแล้วไม่ผูกพันกับฝ่ายนิติบัญญัติก็ดี  ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็นแต่เพียงข้ออ้างที่ไร้ซึ่งน้ำหนัก  ขาดเหตุผลอย่างสิ้นเชิง และเอาอัตตาตนเองเป็นใหญ่ เพราะประชามติก็เป็นสัญญาประชาคม  หากท่านยังพยายามหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยง ตัวท่านเองจะแตกต่างไปจากนักการเมืองเช่น  เสนาะ บรรหาร ชวลิต สมชาย หรือทักษิณ ได้อย่างไร?  แม่ยกทั้งหลายควรพิจารณา!
การที่ท่านออกมาแถลงต่อสาธารณชนว่าการมีไว้ซึ่งบันทึกความเข้าใจฯ  ปีพ.ศ. 2543 ทำให้ไทยสามารถรักษาดินแดนเอาไว้ได้  ฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถให้ใครเข้ามาจัดการพื้นที่ข้ามเขตสันปันน้ำได้  เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่ท่านกล่าวไว้นั้นจะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด  แต่ท่านฉลาดพอที่จะหลบเลี่ยงไม่ยอมอยู่รอพิสูจน์  ท่านได้สร้างเงื่อนไขเพื่อหลีกหนีโดยการยุบสภาไว้เรียบร้อยแล้วจากการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ  การเสียดินแดนมิได้เกิดขึ้นในทันทีหากแต่จะเป็นกระบวนการที่เกิดสืบเนื่องต่อมาเรื่อยๆ  อันเป็นผลมาจากบันทึกความเข้าใจฯ ปีพ.ศ. 2543  ดังกล่าว
การอาศัยปฏิกิริยาของแต่ละฝ่ายที่มีต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นข้ออ้างในการยุบสภา  ก็เป็นดังเช่นที่ได้เคยพยายามสร้างภาพของนักนิยมประชาธิปไตยที่ไม่ใช้กำลังความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนทำให้ทหารที่ปราศจากอาวุธ  ต้องมาตายเพื่อสังเวยการสร้างภาพ  เพราะจุดประสงค์ก็เป็นเพียงเกมการเมืองเพื่อสร้างภาพเท่านั้น  เมื่อได้เสนอร่างแก้ไขฯ ไปในสภาฯ แล้วจะผ่านหรือไม่ก็ไม่ใช่ประเด็น  ท่านสามารถหาเหตุปัดความรับผิดชอบไปได้เรียบร้อย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  กำลังพาตัวเองไปเป็นดังเช่น “วิญญูชนจอมปลอม” อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก  ราคาที่ประเทศต้องจ่ายเพื่อให้คุณอยู่ในตำแหน่งและรอพิสูจน์เรื่องการเสียดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารมันสูงเกินกว่าใครจะรับได้แล้ว  เมื่อถึงวันนั้นที่เชื่อว่าอภิสิทธิ์ยังคงมีชีวิตอยู่ไม่ตายไปเสียก่อน  ท่านจะถูกประณามไปตลอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่ แม้นอนตายไปตาก็ไม่หลับ