มะเร็งกับระบบภูมิชีวิต (1)
หากท่านได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง สิ่งที่ท่านควรทำก่อนเป็นอย่างแรกคือ การตั้งสติกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นความตื่นตระหนก จากนั้นท่านควรถามตัวเองไปเรื่อยๆ ว่า ตอนนี้ตัวท่านรู้สึกยังไงบ้าง มีความคิดอารมณ์อะไรผุดขึ้นมาในตัวท่านบ้าง ท่านจะต้องเผชิญหน้ากับความคิด และความรู้สึกเหล่านั้นด้วยการยอมรับมัน โดยต้องเป็นการยอมรับอย่างหมดใจ เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนเรื่องลบให้กลับเป็นเรื่องบวก แล้วท่านจะพบว่า ตัวท่านรู้สึกดีขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ตาม
ท่านต้องปล่อยความคิด ความรู้สึกของท่านให้พาใจท่านเข้าไปในใจกลางของสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ท่านคาดการณ์ว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวท่าน แล้วจงค้นหาแสงสว่างในชีวิตให้พบพร้อมกับยินดีน้อมรับทุกๆ อย่างที่ชีวิตหลังจากนั้นจะมอบให้แก่ท่าน หากท่านทำได้เช่นนี้แล้ว ความทุกข์ของท่านจะไม่หนักหนาสาหัสอย่างที่ท่านเคยคิด สิ่งที่ท่านกลัวจะไม่เข้ามาหาท่านในแบบที่ท่านคิดเอาไว้ ท่านจะสามารถผ่านพ้นความกลัวเหล่านั้น และเข้าสู่การบำบัดรักษาได้อย่างแท้จริง
ท่านจะต้องเปิดใจของท่านพร้อมกับความหวังว่า ท่านจะหายจากโรคร้ายได้ ท่านต้องไม่ลืมว่า มีคนหายจากโรคร้ายแรงอยู่เสมอ ทั้งด้วยวิธีรักษาปกติ และวิธีที่เหลือเชื่อหรือ “ปาฏิหาริย์” ท่านไม่จำเป็นต้องมั่นใจอย่างเต็มที่ว่า วิธีใดวิธีหนึ่ง (ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์ทางเลือก) จะได้ผลในการรักษาโรคร้ายอย่างโรคมะเร็งที่ท่านเป็น แต่ท่านควรมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า ทุกอย่างรวมทั้งการหายขาดจากโรคมะเร็งราวกับปาฏิหาริย์เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ท่านก็ควรรับรู้ไว้ด้วยเช่นกันว่า บางครั้งการหายขาดเกิดขึ้นในระดับร่างกายก่อน แต่บางครั้งก็อาจเกิดขึ้นในระดับความคิดจิตใจ หรือแม้แต่ในระดับจิตวิญญาณก่อนแล้วแต่กรณี แต่การหายขาดที่แท้จริงอย่างเป็นองค์รวมนั้น จะต้องเกิดขึ้นทั้งในระดับร่างกาย จิตใจ (ความคิด) และจิตวิญญาณในที่สุด
ในความเห็นของผม ผมคิดว่า ระบบภูมิชีวิต (Immune System) มีความสำคัญระดับฐานรากที่สุดในการบำบัดรักษา และการป้องกันโรคมะเร็ง อย่าลืมว่า มะเร็งเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวคนเรามากๆ ในทุกๆ มิติของชีวิต และคนเราทุกคนล้วนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งทั้งสิ้น เพราะแค่เซลล์ใดเซลล์หนึ่งได้รับความเครียดความกดดันมากเข้า มันก็จะผ่าเหล่ากลายเป็นเซลล์เนื้อร้ายที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันควรจะตาย แต่ก็ไม่ตาย มิหนำซ้ำยังโยกย้าย กระจาย ขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีข้อจำกัด จนไม่อยู่ภายใต้การควบคุมระบบชีวิตของผู้นั้นอีกต่อไป
จริงอยู่ หน้าที่ของระบบภูมิชีวิตหรือภูมิคุ้มกันในตัวเรา คือ การคอยกราดตรวจค้นหาเซลล์แปลกปลอม และกำจัดทิ้งไปจากเซลล์จำนวนมหาศาลที่แบ่งตัวอยู่ทุกนาที และจากปัจจัยรุมเร้าภายนอกสารพัดชนิดที่รุกรานเข้ามา ทำให้เซลล์ในร่างกายแปรผันไปเป็นเนื้อร้ายได้ ภูมิชีวิต (ภูมิคุ้มกัน) จึงเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของการบำบัดร่างกาย ที่คอยช่วยป้องกันหรือไล่จับกินเซลล์มะเร็งที่ลอบเติบโตอยู่ทีละน้อยในร่างกายของคนเรา
แต่แม้กระนั้นก็ตาม จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากระบบภูมิชีวิตของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกทุนนิยม และสังคมบริโภคนิยมนั้น ทำงานหนักจนเกินกำลังจะรับไหว เพราะสังคมทุนนิยม-บริโภคนิยมได้สร้างสารก่อมะเร็งขึ้นมาเพิ่มเติมแก่โลกจำนวนนับไม่ถ้วน นอกเหนือไปจากสารก่อมะเร็งในธรรมชาติซึ่งอยู่ใกล้ตัวคนเราอยู่แล้ว
การสร้างระบบภูมิชีวิตของตนเองให้แข็งแรงอย่างบูรณาการ จึงเป็นปราการที่สำคัญที่สุดในการป้องกันมะเร็ง และลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลงได้ เนื่องจากในปัจจุบัน มนุษย์ยังเอาชนะมะเร็งไม่ได้ และการรักษาเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์ทางเลือกก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรักษามะเร็งให้หายได้ การป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด
ผมสนใจ กรณีศึกษาของคุณสุภาพร พงศ์พฤกษ์ (จากหนังสือ “มะเร็งแห่งชีวิต” (พ.ศ. 2540) ของอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง) เป็นพิเศษ เพราะเธอเป็นคนไข้มะเร็งเต้านมคนแรกที่รักษาด้วยวิธีชีวจิตล้วนๆ (วิธีชีวจิตเป็นรูปแบบหนึ่งของการแพทย์แบบทางเลือกที่เผยแพร่โดยอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง) มิใช่คนไข้ที่ผ่านการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันมาแล้ว หรือเป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลไม่รับรักษาต่อไปแล้ว
แต่กรณีของคุณสุภาพรไม่เป็นเช่นนั้น ในกลางปี พ.ศ. 2535 เธอรู้สึกว่า มีอาการผิดปกติที่หน้าอกของเธอ จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลอย่างละเอียดจนได้รับการยืนยันว่าเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งทางโรงพยาบาลแนะนำให้ผ่าตัดเอาเต้านมออก แต่คุณสุภาพรได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะไม่ยอมผ่าตัดเด็ดขาด และจะมุ่งมั่นรักษาด้วยวิธีการชีวจิตเท่านั้น ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของอาจารย์สาทิส โดยที่อาจารย์สาทิสเองก็ได้แจกแจงถึงผลดีผลเสียของการรักษาทั้งสองแบบ ให้คุณสุภาพรรับทราบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเองว่าจะเลือกเอาวิธีไหนรักษา
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อาจารย์สาทิสเองก็ไม่เคยรับรองว่า ถ้ารักษาแบบชีวจิตแล้วจะหายแน่ๆ คุณสุภาพรจะต้องยอมเสี่ยงเองว่า ถ้าไม่ได้ผล เธอจะทำอย่างไรต่อไป แต่คุณสุภาพรตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า ตายเป็นตาย จะขอเลือกวิธีแบบชีวจิตโดยไม่ยอมผ่าตัดเด็ดขาด
จากนั้นการรักษามะเร็งเต้านมของคุณสุภาพร ด้วยวิธีรักษาแบบชีวจิตอย่างจริงจังก็เริ่มขึ้น หลักในการรักษาแบบชีวจิต ประกอบไปด้วย
(1) เพิ่มระบบภูมิชีวิต (Immune System) ให้สูงขึ้นโดยเร็ว อันนี้เป็นสิ่งที่ชีวจิตให้ความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับแรก
(2) หยุดการเจริญเติบโตของก้อนเนื้อ รวมทั้งหยุดการกระจายของมะเร็ง (Metastasis) ด้วย
(3) แก้อาการแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การปวด การไอ การเพลีย
(4) จัดระบบการใช้ชีวิตประจำวันใหม่
ในกรณีของคุณสุภาพร หลังจากได้ทำการตรวจร่างกายของเธออย่างละเอียด ก่อนเริ่มทำโปรแกรมการรักษา อาจารย์สาทิสได้พบว่า ระบบย่อยของเธอ และการทำงานของตับอ่อนไม่ดีเท่าที่ควร นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ก้อนเนื้อที่หน้าอกของเธอมีแคลเซียมเกาะ เมื่อตรวจดูตับและการทำงานของตับ ปรากฏว่าตับโต และเป็นอาการที่น่าเป็นห่วงมาก จากผลของการตรวจลิ้นและปาก ได้พบว่า ระบบย่อยทำงานไม่ดี เกิดแก๊สหมักหมมในกระเพาะ และลำไส้ทำให้ท้องแน่นและมีแก๊สมาก ระบบเกี่ยวกับมดลูกรังไข่ของเธอก็ผิดปกติ ทำให้ประจำเดือนไม่ปกติ มีอาการปวดหัว ปวดตัว เป็นๆ หายๆ อยู่เป็นประจำ สุขภาพจิตของคุณสุภาพรเองในตอนนั้น ก็ไม่ค่อยดีนัก อาจเป็นเพราะความวิตกกังวลเรื่องการเจ็บป่วยมีมาก บางครั้งมีอาการใจลอย ถามตอบจะไม่ค่อยเข้าใจทันที การทำงานของสมองค่อนข้างช้า
อาจารย์สาทิส ได้จัดทำโปรแกรมการรักษาคุณสุภาพร ดังต่อไปนี้
(1) ให้ทำการ ล้างพิษ (Detoxification) ในร่างกายก่อนเป็นการด่วน
(2) ใช้สูตรอาหารชีวจิตประเภทเคร่งครัด รสชาติจืด
(3) ใช้เอนไซม์จากน้ำผักและผลไม้ แครอท ฝรั่ง มะระ และน้ำสมุนไพร
(4) ใช้เอนไซม์สกัดเป็นเม็ดจากต่างประเทศ เพื่อลดก้อนเนื้อและช่วยละลายแคลเซียมที่เกาะก้อนเนื้อที่หน้าอก
(5) ให้เม็ดเอนไซม์ประเภทช่วยให้การ Oxidation ของเลือดดีขึ้น
(6) ให้วิตามินประเภท Antioxidant เช่น วิตามิน C, A, D, E และซีลีเนียม และให้วิตามิน Niacin เพื่อลดไขมันและช่วยหัวใจ
(7) ให้แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง โครเมียม และเหล็กในจำนวนที่สูงมาก เช่น สังกะสีวันละ 200 mg
(8) ให้ยาประเภทกรดโปรแล็กติน ฮอร์โมน
(9) ให้เอนไซม์ที่จะไปต่อต้านเอนไซม์ของมะเร็งที่ชื่อ Hyaluronidase
รายการต่างๆ ข้างต้น อาจารย์สาทิสจัดให้คุณสุภาพรเป็นคอร์ส คอร์สละ 10 วัน พอถึงคอร์สที่ 6 (สองเดือนต่อมา) จึงทำการตรวจร่างกายของคุณสุภาพรอย่างละเอียดอีกครั้ง ปรากฏว่าก้อนเนื้อสองก้อนหายไป รอยอักเสบไม่มีเหลืออีกเลย ร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมอย่างน่าพิศวงยิ่ง อาการเพลียหมดไป หน้าตาสดใส กระฉับกระเฉงว่องไวขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น 2 กิโลกรัม ดังนั้นตั้งแต่คอร์สที่ 7 เป็นต้นไป อาจารย์สาทิสจึงเปลี่ยนโปรแกรมเป็นโปรแกรมบำรุงอย่างเต็มที่โดย
(1) Detox (การล้างพิษ) ยังคงทำต่อไป แต่น้ำยาเปลี่ยนเป็นประเภทต่างๆ
(2) อาหารเพิ่มโปรตีนจากพืช และคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น
(3) ลดเอนไซม์ลงครึ่งหนึ่ง
(4) เพิ่มวิตามิน และยาบำรุงมากขึ้น
(5) เพิ่มยาเสริมประเภทโสม เกสรผึ้ง Amino Acids
(6) ทำโปรแกรมชีวิตประจำวันอย่างเข้มงวด ในเรื่องการกิน การนอน การพักผ่อน การออกกำลังกาย และวิธีคิดในเชิงบวกโดยจัดให้เหมาะสมกับสภาพชีวิตของคุณสุภาพร
คุณสุภาพรได้มาเข้าคอร์สและปฏิบัติตัวตามแนวชีวิตอย่างเคร่งครัดเป็นเวลาเกือบครึ่งปี หลังจากนั้น เธอได้ไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาล ผลของการตรวจร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่าง ร่างกายของเธอปราศจากโรคร้าย สามารถกลับไปทำงานใช้ชีวิตอย่างปกติสุขทุกอย่างเกินกว่า 5 ปี ซึ่งทางการแพทย์ถือว่า คุณสุภาพรได้หายจากโรคมะเร็งในครั้งนั้นแล้ว ซึ่งสาเหตุหลักน่าจะมาจากในครั้งนั้น คุณสุภาพรประสบความสำเร็จในการฟื้นฟู ระบบภูมิชีวิต ของเธอให้แข็งแรงสมบูรณ์นั่นเอง
แต่แล้วคุณสุภาพรกลับมาเป็นมะเร็งเต้านมอีกครั้ง