บทที่ 1 มูซาชิแห่งยุคโชวะ

บทที่ 1 มูซาชิแห่งยุคโชวะ




บทที่ 1 มูซาชิแห่งยุคโชวะ

 

 

ตอนที่ 1 บูรพาไม่แพ้


อนุสนธิจากการที่ผมได้เขียนมูซาชิฉบับท่าพระจันทร์ออกมาทำให้ ผมมีความปรารถนาที่จะถ่ายทอดชีวิตจริงของเจ้าสำนักคาราเต้ชาวญี่ปุ่น ผู้หนึ่งที่มีฉายาว่ามูซาชิแห่งยุคโชวะ (ช่วง ค..1925-1988) แต่ผมชอบที่จะ เรียกเขาคนนี้ว่าบูรพาไม่แพ้มากกว่า ในไดอารี่ของเขาคนนี้เมื่อวันที่ 27 เดือนธันวาคม ค..1959  เขาได้เขียนถึงมิยาโมโต้ มูซาชิผู้เป็นอาจารย์ทางใจ ของเขาว่า

        เมื่อยามจับดาบ ท่านอาจารย์มูซาชิจะเป็นดุจพระอจลนาถ ซึ่งเป็น ที่ครั่นคร้ามของพวกมาร แต่ในยามปกติดูเหมือนว่าอาจารย์จะเป็นคนเงียบขรึม พูดจาด้วยเสียงต่ำและเบาๆ ชีวิตของอาจารย์เป็นชีวิตของจอมยุทธ์ผู้โดดเดี่ยว และเดียวดายอย่างแท้จริง มรรคาแห่งชีวิตของท่านมีแต่การมุ่งแสวงหาความ เป็นเลิศในวิถีของตนอย่างเดียวเท่านั้นโดยไม่เคยวอกแว่กไปในทางอื่นใดๆ ทั้งสิ้น ฟ้าไม่เคยให้ใครมากกว่าสองเพราะฟ้าไม่ลำเอียงต่อผู้ใด ชีวิตของอาจารย์ มูซาชิจึงเริ่มต้นอย่างโดดเดี่ยวและก็จบลงอย่างโดดเดี่ยว หากเปรียบกับชีวิต ของจอมดาบคนอื่นในสมัยเดียวกับอาจารย์มูซาชิอย่าง ยางิว มุเนโนริ ซึ่ง โด่งดังและประสบความสำเร็จในชีวิตทางสังคม จนได้เป็นถึงครูดาบของโชกุน ทั้งๆ ที่ฝีมือดาบของอาจารย์มูซาชิเหนือกว่า ก็จะแลเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชีวิต ของอาจารย์มูซาชิได้จบลงในบั้นปลายอย่างแทบไม่มีใครเหลียวแลเลย

        แต่แม้กระนั้น เขาคนนี้ก็ยังถือว่ามูซาชิคือ อาจารย์หนึ่งเดียวใน ดวงใจของเขา และยึดถือ มิยาโมโต มูซาชิ ในอมตะนิยายที่แต่งโดยคุณ โยชิคาว่า เอญิ เป็นสรณะ หรือแบบอย่างในการดำรงชีวิตของเขา โดยเฉพาะ เขาผู้นี้ได้มีความใฝ่ฝันที่จะออกตะลุยยุทธจักรไปประลองฝีมือกับคนเก่งทั่วโลก ที่เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และก็ไม่เคยแพ้ใครเหมือนมูซาชิ รวมทั้งเขา อยากเขียนคัมภีร์แบบคัมภีร์ห้าห่วงออกมาในช่วงบั้นปลายของชีวิตเขา เหมือนกับมูซาชิด้วย

        เขาผู้นี้ เป็นบุคคลจำนวนน้อยนิดบนพื้นพิภพนี้  ที่สามารถเจริญรอย ตามอย่างมูซาชิได้  และประสบความสำเร็จในการประลองฝีมือในระดับที่ใกล้ เคียงกัน แม้จะไม่ใช่วิชาดาบแต่เป็นวิชาคาราเต้ก็ตาม เพราะฉะนั้นชีวิตในวัย หนุ่มและวัยฉกรรจ์ของคนผู้นี้จะต้องไม่ใช่ชีวิตธรรมดาอย่างแน่นอน จนผม ไม่อาจละเลยเรื่องราวของเขาไปได้ด้วยเหตุผลหลักๆ อย่างน้อย 2 ประการคือ

        หนึ่ง ผมได้ถ่ายทอดเรื่องราวของมูซาชิ (ฉบับท่าพระจันทร์)” [THE SWORD OF MINDFULNESS] ออกมาให้ท่านผู้อ่านที่เป็นคนไทย ได้รับรู้เรื่องราว ของเขาในช่วงวัยหนุ่มไปแล้ว (ตีพิมพ์รวมเล่มโดยโครงการจัดพิมพ์คบไฟ) เพราะฉะนั้นถ้าผมจะเขียนถึงคนที่ได้รับฉายาว่ามูซาชิแห่งยุคโชวะหรือมูซาชิแห่งยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2“ ก็เป็นที่เชื่อได้ว่า ท่านผู้อ่านที่เป็น แฟนของมูซาชิคงจะให้ความสนใจกับชีวิตของคนผู้นี้ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ ใกล้เคียงกับพวกเรามากเหลือเกิน คือคนรุ่นก่อนพวกเราเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น

        สอง เพราะวิชาคาราเต้ เป็นศิลปะการต่อสู้วิชาแรกที่ผมได้ร่ำเรียน เมื่ออายุสิบสี่ปี แม้ประวัติการฝึกฝีมือของผมในภายหลังส่วนใหญ่จะทุ่มเทให้ กับวิชากังฟูหรือมวยจีน โดยเฉพาะมวยภายในมาโดยตลอดก็ตามแต่ผมก็ ไม่อาจปฏิเสธความผูกพันดุจรักแรกที่ผมเคยมีกับวิชาคาราเต้ในวัยเด็ก ของผมได้ เพราะฉะนั้นเมื่อผมได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของเขาคนนี้ในเดือน เมษายน ค..1994  ด้วยวัย 70 ปี  ผมจึงเกิดความรู้สึกอย่างรุนแรงที่จะถ่ายทอด เรื่องราวของเขาออกมาเพื่อให้กำลังใจ และเป็นแรงบันดาลใจแก่เยาวชนรุ่นหลัง ให้ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่าบูรพาไม่แพ้ซึ่งเขาคนนี้ได้ดำเนิน ชีวิตของเขาเป็นแบบอย่างให้พวกเราดู

 

ข้อความต่อไปนี้คือ ประวัติย่ออย่างเป็นทางการของโอยาม่า มะสุทัสสุ (OYAMA MASUTASU) [ชาตะ ค..1923 - มรณะ ค..1994] ผู้ได้รับฉายาว่ามูซาชิแห่งยุคโชวะ

        “โอยาม่า มะสุทัสสุ เกิดที่กรุงโตเกียวในปี ค..1923 เขาเริ่มหัดวิชา มวยตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ได้สายดำสองขั้นเมื่ออายุ 17 ปี  ใน ค..1947 ชนะเลิศใน การแข่งขันคาราเต้ทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ สอง  หลังจากนั้นเขาได้มุ่งตั้งปณิธานที่จะเป็นมูซาชิแห่งยุคโชวะและทุ่มเทให้ กับการฝึกฝนตนเองอย่างหนัก จนกระทั่งสามารถต่อสู้กับวัวกระทิงด้วย มือเปล่า และสามารถใช้สันมือฟันเขาวัวกระทิงจนหักได้ เมื่อเก่งกาจจนไม่มี ใครกล้าประมือด้วยภายในประเทศญี่ปุ่นแล้ว โอยาม่าจึงเดินทางออกไป ตระเวนประลองฝีมือกับพวกนักมวยปล้ำ และนักมวยสากลที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา... ในปี ค..1952 เขาได้ทำการประลองฝีมือทั้งหมด 270 กว่าครั้ง และชนะรวดมาโดยตลอด จน FBI ถึงกับต้องขอเชิญเขาไปเป็นครูฝึกสอน ศิลปะการป้องกันตัวอยู่พักหนึ่ง  ความแหลมคมเฉียบขาดของท่าใช้สันมือ ถึงขนาดตัดคอขวดเบียร์ได้โดยขวดเบียร์ไม่ล้มได้ ทำให้โอยาม่าได้รับฉายา อีกนามหนึ่งว่า “GODHAND” หรือหัตถ์ของพระเจ้าจากพวกฝรั่ง 

        ปัจจุบัน สำนักคาราเต้เคียวคุชิน (สำนักจริงแท้) ของเขามีสาขาอย่าง เป็นทางการทั้งหมด 800 แห่ง ใน 143 ประเทศทั่วโลก โดยมีจำนวนลูกศิษย์ ทั้งหมดเกินกว่า 10 ล้านคน

 

 

 

 

 


เมื่อผมได้รู้ประวัติของโอยาม่าดังข้างต้นแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า คนๆนี้เกิดมาช้าเกินไปหลายสิบหรือหลายร้อยปี ถ้าหากเขาเกิดมาเร็วกว่านั้น        คือเกิดในยุคของซามูไรแล้ว  รับรองได้ว่าคนๆ นี้จะต้องได้เป็นขุนพลผู้เกรียง- ไกรที่จะต้องมีชื่อถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคศักดินาหรือยุคซามูไร เป็นใหญ่อย่างแน่นอน เพราะคนอย่างนี้ที่มีประวัติการต่อสู้อย่างโชกโชนเช่นนี้ คงยากที่จะปรากฎขึ้นมาอีกแล้วในยุคที่เป็นเทคโนโลยีครองโลกเช่นปัจจุบันนี้


        ในที่นี้ ผมเลือกที่จะถ่ายทอดชีวิตเรื่องราวในวัยหนุ่มของเขาอันเป็น ช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุด มีสีสันที่สุด และมีอรรถรสที่สุดในสายตาของผมจนผม อยากจะตั้งฉายาให้แก่เขาอีกชื่อหนึ่งว่าบูรพาไม่แพ้ออกมา แต่ก่อนหน้านั้น ผมใคร่จะขอถ่ายทอดคำพูดคมๆ เกี่ยวกับปรัชญาคาราเต้ของเขาที่เขาได้ เขียนหรือให้สัมภาษณ์ไว้ตามที่ต่างๆ มาให้ทราบ ถึงบุคลิกภาพและมนุษยภาพ ของคนๆนี้เสียก่อน ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับวิถีของเขาทั้งหมดหรือไม่ก็ตาม

        ศิษย์ถาม : ถ้าจะเก่งขึ้นด้วยวิชาคาราเต้นั้น จะทำอย่างไรครับ อาจารย์

        โอยาม่า ตอบ : เธอจะต้องให้ความสำคัญและความสนใจกับ ท่าพื้นฐาน ให้มากที่สุด โดยเฉพาะท่าหมัดกับท่าเตะ หัวใจของคาราเต้นั้นอยู่ที่ การซ้อมคู่หรือ Sparring แต่หัวใจของ Sparring นั้นอยู่ที่ท่าพื้นฐาน

        ถ้าอยากจะเก่งจริงๆ ผู้ฝึกคาราเต้ต้องเชี่ยวชาญ (MASTER) ท่าพื้น- ฐานของคาราเต้ให้ได้อย่างสมบูรณ์เสียก่อน มิฉะนั้นแล้ว วิชาคาราเต้ของคนๆ นั้นจะไม่ใช่ของจริง แต่จะเป็นแค่การลีลาเริงระบำรำฟ้อนเท่านั้น!

        ศิษย์ถาม : อาจารย์ครับ ความแข็งแกร่งของคาราเต้นั้นเป็นเช่นใด ครับ?

        โอยาม่า ตอบ : นอกจากต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่งแล้ว ยังจะต้องมี คุณธรรม อีกด้วย เพราะลูกผู้ชายที่เข้มแข็งอย่างแท้จริงในสายตาของผมนั้น คือผู้ที่มีความอ่อนโยนเมตตากรุณาต่อผู้อื่นต่างหาก ซึ่งถ้ามองจากจุดยืนของ ชาวยุทธ์อย่างผมแล้วก็คือ  การสลายตนเองเพื่อการใช้ตัวเองให้เป็นประโยชน์ แก่ผู้อื่น นั่นเอง คำๆ นี้เป็นคำสอนของท่านอาจารย์มูซาชิที่เคยกล่าวไว้

        การสลายตนเอง ในที่นี้ผมหมายถึงการเสียสละตนเองและวิถีแห่ง การใช้ตนเองเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นนั่นเองก็คือ วิถีของจอมยุทธ์ การมุ่งมั่น ที่จะพัฒนาตนเองเป็นคนแบบนั้นคือ วิถีแห่งคาราเต้ในทัศนะของผม

        คนอื่นถาม : สปิริตของสำนักเคียวคุชิน (สำนักจริงแท้) ของอาจารย์ คืออะไรครับ?

        โอยาม่า ตอบ : คือความกตัญญูรู้บุญคุณโดยเฉพาะบิดามารดา เพราะผมไม่เชื่อว่าคนที่ไม่มีความกตัญญูต่อบิดามารดาจะเป็นคนที่สามารถ ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแท้จริง ถึงประสบความสำเร็จได้ก็เพียง ชั่วคราวเท่านั้น สำหรับตัวผมนั้นผมจะไม่ยินยอมสอนวิชาคาราเต้ของผมแก่ คนอกตัญญูเป็นอันขาด

        คนอื่นถาม : ทำไมอาจารย์ถึงได้ตัดสินใจที่จะอุทิศทั้งชีวิตของ อาจารย์ให้กับมรรคาแห่งคาราเต้?

        โอยาม่า ตอบ : ผมชอบอ่านตำนานวีรบุรุษมาตั้งแต่เด็กแล้วโดย เฉพาะนโปเลียนคือฮีโร่ที่ผมชื่นชอบมากที่สุด อนึ่งตัวผมเองก็มิได้มีความรู้ หรือการศึกษาสูงมากนัก และผมก็ไม่ได้เป็นคนที่เกิดมาในตระกูลมั่งคั่งด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมจะพึ่งพาได้ก็มีแต่ร่างกายอันนี้ของผมเท่านั้น ผมจึงได้ตั้ง ปณิธานไว้ว่าจะใช้ร่างกายอันนี้ของผมผงาดขึ้นมาเป็นยอดคนของโลกนี้ เหมือนกับนโปเลียนให้ได้ จากนั้นผมจึงเริ่มฝึกหัดคาราเต้และมุ่งมั่นที่จะบรรลุ ถึงขั้นสุดยอดในวิชานี้ แม้ว่าผมจะต้องทุ่มเททั้งชีวิตของผมเพื่อมันก็ตาม

        คนอื่นถาม : อาจารย์ก็เลยต้องไปต่อกรกับวัวกระทิง เพื่อพิสูจน์ ความเก่งของตัวเองยังงั้นหรือครับ?

        โอยาม่า ตอบ : เพราะตอนนั้นผมได้ฝึกฝนคาราเต้จนกระทั่งไม่อาจ ประลองกับคนธรรมดาได้แล้ว  และเกรงจะทำให้คู่ประลองของผมบาดเจ็บ      ถึงขั้นเสียชีวิตด้วย อาจเป็นด้วยวัยหนุ่มคะนองของผมด้วยเช่นกันที่คิดจะทำ ในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำและทำไม่ได้  จึงทำให้ผมคิดที่จะต่อกรกับวัวกระทิง ซึ่งผมได้คิดเลยเถิดไปจนถึงขั้นที่จะต่อกรกับหมีควายและสิงห์โต  ซึ่งผมถือว่า เป็นสัตว์ที่เก่งกาจที่สุดในโลกนี้ด้วยมือเปล่า   แต่แผนการต่อสู้กับหมีและสิงห์โต ของผมไม่อาจเป็นจริงได้ เพราะถูกทางการสั่งห้าม และคนรอบข้างผมต่าง คัดค้าน พร้อมกับลงความเห็นว่าผมเสียสติไปแล้วที่คิดจะทำอะไรแผลงๆ เช่นนั้นในยุคที่เขากดปุ่มระเบิดปรมาณูเช่นยุคปัจจุบันนี้

        คนอื่นถาม : อะไรคือความกตัญญู ที่ศิษย์พึงกระทำแก่อาจารย์ ครับ?

        โอยาม่าตอบมีหลายวิธีด้วยกัน เช่นการสนับสนุนด้านการเงิน แก่สำนัก หรือการกลายเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสำนัก แต่ถ้า เป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง ผมอยากให้ศิษย์คนนั้นสามารถสร้างสถิติที่เหนือกว่า โอยาม่าผู้เป็นอาจารย์ของเขาให้จงได้ เพราะการกลายเป็นคนที่เก่งกว่า อาจารย์ของตน คือการแสดงความกตัญญูขั้นสุดยอดที่สุดที่ศิษย์พึงกระทำแก่ อาจารย์ในทัศนะของผม

        คนอื่นถาม : เยาวชนในอุดมคติของอาจารย์ เป็นบุคคลเยี่ยงไรครับ?

        โอยาม่า ตอบ : คือคนที่ไม่เสียดายชีวิต ไม่ต้องการชื่อเสียง ไม่ต้อง การยศถาบรรดาศักดิ์  ไม่ต้องการความร่ำรวย เพราะคนประเภทนี้แหละที่เป็น บุคคลที่เข้มแข็งที่สุด น่าครั่นคร้ามที่สุด และจัดการได้ยากที่สุด ในสมัยการ ปฏิวัติเมจินั้น มีเยาวชนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่เป็นบุคคลประเภทนี้ ซึ่งพลัง หนุ่มแน่นเช่นนี้แหละที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินญี่ปุ่นมาแล้ว

 

 

 

ตอนที่ 2 ฝันสลาย

โอยาม่า มะสุทัทสุ เกิดเมื่อวันที่ 27 เดือนกรกฎาคม ค..1923  บิดาของ เขาชื่อ โชเง็น มารดาของเขาชื่อ ฟุโย โดยที่เขาเป็นบุตรชายคนที่สี่ ตอนเช้า วันที่เขาจะถือกำเนิดลืมตาดูโลกนั้น บิดาของเขาได้ฝันประหลาดคือ ฝันเห็น เสือขาวกำลังทะยานลงจากูเขาวิ่งเข้าใส่ตัวเขาทำให้เขาตกใจตื่น ตามความ เชื่อของคนจีนนั้นเสือขาวเป็นหนึ่งในเทพพิทักษ์ผู้คุ้มครองโลก ซึ่งอาจมี ความหมายว่า ทารกที่จะเกิดมานี้ต่อไปจะต้องเติบใหญ่เป็นผู้ชายที่เก่งกล้า อย่างแน่นอน

        แม้โอยาม่าจะเกิดที่โตเกียวก็จริง แต่กิจการโรงเหล็กเล็กๆ ที่บิดาของ เขาดำเนินอยู่นั้นไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นพอโอยาม่าเกิดได้ ไม่นานเขาก็ถูกทางบ้านส่งไปอยู่ที่แมนจู ให้พี่สาวซึ่งมีอายุห่างจากเขาถึง 18 ปี เป็นผู้ดูแลร่วมกับพี่เขยแทน และหลังจากนั้นไม่เท่าไหร่บิดาของโอยาม่าก็ ปิดกิจการที่กรุงโตเกียว แล้วอพยพไปตั้งหลักแหล่งใหม่ที่ประเทศเกาหลีซึ่ง ขณะนั้นยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นอยู่ พอโอยาม่าสี่ขวบจึงถูกบิดาเรียกตัว จากแมนจูให้มาอยู่กับบิดาอีกครั้ง มีพระรูปหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กชาย โอยาม่าจึงเอ่ยปากทักว่า เด็กคนนี้มีใบหน้าที่ส่อเค้าว่าจะอายุสั้น ขอให้นำตัว ไปฝากไว้ที่วัดเป็นเวลาหนึ่งปีดีกว่า เผื่อจะสะเดาะเคราะห์ได้และถ้าเลี้ยงให้ดี เด็กคนนี้อาจกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตก็เป็นได้ บิดาของโอยาม่าเชื่อใน คำเตือนของภิกษุรูปนั้น จึงนำเขาไปฝากไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง  ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี ที่เด็กชายโอยาม่าอาศัยอยู่กับวัดแห่งนั้น  เขาได้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น 2 อย่าง คือความสามารถในการจับงูพิษเพื่อมาดองยา กับความสามารถในการปีนป่าย ภูเขาด้วยสองมือเปล่าทั้งๆ ที่ขณะนั้นเขาเพิ่งมีอายุหกขวบเท่านั้น

        โอยาม่ามีนิสัยไม่กลัวคนตั้งแต่เด็ก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาถูกวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่มีอายุมากกว่าเขาถึงแปดปีรังแกอยู่เป็นประจำด้วยการเขกศรีษะ จนกระทั่ง เขาฮึดสู้คว้าเคียวเกี่ยวข้าวไล่ฟัยวัยรุ่นคนนั้นจนหวาดกลัว และได้รับบาดเจ็บ หลบหนีไปอย่างไม่กล้ามารังแกเขาอีก แม้แต่ตอนที่เขาถูกพี่ชายของเขารังแก เขาก็ฮึดสู้ โดยใช้ศรีษะพุ่งชนใบหน้าพี่ชายที่ชอบตีเขาทุกวันวันละหนึ่งครั้ง เป็นอย่างน้อยจนถึงกับดั้งจมูกหัก

        แม้จะเป็นเด็กที่ไม่กลัวคน กล้าต่อยตีกับผู้คนตั้งแต่เล็ก แต่โอยาม่าก็ เป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับตำนาน วีรบุรุษหรือนักรบ  จนเขามีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นเขาจะต้องเป็นนักรบหรือทหารให้จงได้ ส่วนภาพยนตร์ที่เด็กชายโอยาม่าชอบมากที่สุดก็คือภาพ- ยนตร์เรื่องนินจาซาสุเกะซึ่งทำให้เขามีความใฝ่ฝันที่จะเก่งและเคลื่อนไหวได้ ปราดเปรียวเหมือนนินจา

        เมื่อโอยาม่าอายุได้แปดขวบ บิดาของเขาได้ส่งเขามาอยู่กับพี่สาว และพี่เขยที่ทำไร่อยู่ที่แมนจูอีกครั้งหนึ่ง และที่ไร่นี้แหละที่เขาได้พบกับอาจารย์ลี้เซียงชื่อหรืออาจารย์ลี้ซึ่งเป็นครูมวยคนแรกของเขา...  อาจารย์ลี้เป็นหนึ่งใน กรรมกรรับจ้างที่เข้ามาทำงานในไร่ของพี่สาวและพี่เขยของโอยาม่าในช่วงฤดู เก็บเกี่ยว หลังจากเลิกงานในตอนเย็น พวกกรรมกรมักเล่นกีฬามวยปล้ำหรือ ซูโม่กันเพื่อคลายเครียดพร้อมกับดื่มสุราหมัก เย็นวันหนึ่งแชมป์มวยปล้ำ ในหมู่กรรมกรได้ท้าให้อาจารย์ลี้ซึ่งมีรูปร่างผอมบางออกมาประลองด้วยกัน แม้อาจารย์ลี้จะพยายามบ่ายเบี่ยงหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ  จึงจำต้องออกไป ประลองด้วยซึ่งปรากฎผลแพ้ชนะในชั่วพริบตา ขณะนั้นโอยาม่าเพิ่งอายุแค่ เก้าขวบ และอยู่ในเหตุการณ์ที่อาจารย์ลี้โค่นคู่ต่อสู้ของท่านในขบวนท่า เดียวด้วย

        เด็กชายโอยาม่าตรงเข้าไปหาอาจารย์ลี้ ขอให้ท่านสอนมวยให้

        “อย่าเลยหนู ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือเพื่อเป็นทหารดีกว่า จะได้ทำ คุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้

        แม้จะถูกปฏิเสธ  แต่เด็กชายโอยาม่าก็ไม่ยอมท้อแท้ เขาไปอ้อนวอน พี่สาวให้ไปขอร้องอาจารย์ลี้แทนเขา จนในที่สุดอาจารย์ลี้ตอบตกลงแต่ให้ เด็กชายโอยาม่ารับคำในเรื่องหนึ่งว่า

        ตกลงฉันจะสอนมวยให้แก่เธอ แต่เธอจะต้องรับปากฉันข้อหนึ่งว่าเธอ จะต้องอดทนฝึกตามที่ฉันสั่งทุกประการนะ

        “ครับ

        วิชามวยอันแรกที่อาจารย์ลี้ได้สอนให้แก่เด็กชายโอยาม่าก็คือ เอา กิ่งไม้ผูกกับเชือกแขวนไว้บนต้นไม้ที่สูงจากพื้นดินราวๆ หนึ่งเมตรยี่สิบเซนติ- เมตร แล้วสั่งให้เขากระโดดเตะกิ่งไม้ท่อนนี้วันละ 300 ถึง 500 ครั้งทุกวัน เด็กชายตั้งใจฝึกตามที่อาจารย์ลี้สอนไว้ทุกประการ โดยหารู้ไม่ว่าอาจารย์มวย คนนี้ของเขานั้นที่แท้ก็คือ อดีตนักมวยที่รอดชีวิตมาจากการถูกปราบในกรณีขบถนักมวยเมื่อปี ค..1900 นั่นเอง

        อาจารย์ลี้ได้สอนพื้นฐานของวิชามวยจีนหรือเส้าหลินใต้ ให้แก่เด็ก ชายโอยาม่าอยู่ราวๆหนึ่งฤดูกาล ก่อนที่จะอพยพร่อนเร่ไปยังที่อื่น หลงเหลือ ไว้แต่ความทรงจำอันติดตาตรึงใจในดวงจิตของเด็กชายโอยาม่าเท่านั้น

        เมื่ออายุได้สิบสาม  เด็กชายโอยาม่าได้แจ้งความประสงค์กับทางบ้าน ว่าเขาต้องการกลับไปญี่ปุ่น  เพื่อสมัครสอบเข้าโรงเรียนยุวช่างทหารอากาศที่ จังหวัดยามานาชิ แต่บิดาของเขาไม่เห็นด้วย

        “อย่ากลับไปญี่ปุ่นเลยลูก เพราะเจ้าไม่รักเรียน และชอบทะเลาะ ต่อยตีกับผู้คน

        “ถ้าพ่อไม่ให้ผมไปญี่ปุ่น ผมจะไปอยู่แมนจู และเข้าร่วมกองพันทหาร ม้า (โจรสลัดม้า) ของคิมอิลซุง (ต่อมาคือประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ เกาหลีเหนือ) นะครับ

        เมื่อเห็นความแผลงของบุตรชายคนสุดท้องของตนเช่นนี้แล้ว  บิดาของ โอยาม่าก็ได้แต่อ่อนใจ ปล่อยให้เขาเลือกใช้ชีวิตแบบเลยตามเลยตามที่เขา ต้องการ ในวันที่โอยาม่าเข้าไปสอบเพื่อเข้าโรงเรียนยุวช่างทหารอากาศนั้น เขาถือธงชาติญี่ปุ่นมาด้วย พร้อมกับกรีดเลือดที่นิ้วเขียนอักษรยอมอุทิศชีวิต รับใช้ชาติบนธงผืนนั้น ซึ่งสร้างความตระหนกให้แกครูใหญ่ผู้คุมสอบและ กลายเป็นข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น อาจเป็นเพราะความรักชาติแบบคลั่งไคล้ของเยาวชนเช่นนี้เองก็เป็นไปได้ที่ทำให้เด็กชายโอยาม่าสามารถ สอบเข้าโรงเรียนยุวช่างทหารอากาศได้ ทั้งๆ ที่ผลการเรียนของเขาไม่ได้ดีเลิศ แต่ประการใด

        แม้เข้าโรงเรียนยุวช่างทหารอากาศได้แล้ว เด็กชายโอยาม่าก็ยัง ไม่เลิกการฝึกหัดเตะทุกเช้าวันละ 500 ครั้ง ตามที่เขาได้รับการถ่ายทอดมา จากอาจารย์ลี้แต่ประการใด และในระหว่างที่ร่ำเรียนอยู่ในโรงเรียนนี้ถ้าหาก โอยาม่าได้ข่าวพรรคพวกของเขามีการชกต่อยกับพวกนักเรียนโรงเรียนอื่น ข้างเคียงที่ไหน  เขาจะต้องเฮโลรีบเข้าไปช่วยเพื่อนๆ ทันที และการชกต่อยกันนั้น มักจะจบลงด้วยการที่เขาเป็นฝ่ายชนะเสมอ

        มีการต่อสู้ครั้งหนึ่ง ขณะนั้นเขาอายุสิบเจ็ดปี สูง 173 .. หนัก 75 กิโลกรัม  และคู่ต่อกรของเขาเป็นหัวหน้าชมรมยูโดของโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งซึ่ง สูง 180 .. หนัก 90 กิโลกรัม  สถานที่ประลองเป็นลานกรวดริมแม่น้ำ เพราะ ฉะนั้นถ้าถูกฝ่ายตรงข้ามทุ่มได้ก็จบเห่ทันที เพราะฉะนั้นโอยาม่าจึงระวังตัว เต็มที่ พอฝ่ายตรงข้ามพุ่งรี่เข้ามาจะคว้าชายเสื้อเขาจับทุ่ม โอยาม่าจึงเบี่ยงตัว หลบเฉียดๆ พร้อมกับต่อยหมัดขวาไปที่คางของคู่ต่อสู้ และตามด้วยหมัดซ้าย อันเป็นหมัดถนัดของเขาไปที่ลำตัว คู่ต่อสู้ของเขาทรุดลงกับพื้นล้มลงร้อง ครวญครางด้วยความเจ็บปวด นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาไม่มีการชกต่อย ระหว่างโรงเรียนนี้เกิดขึ้นอีกเลยตราบใดที่โอยาม่ายังเป็นนักเรียนอยู่ที่นี่

        เมื่อโอยาม่าเรียนจบจากโรงเรียนยุวช่างทหารอากาศในเดือนเมษายนปี ค..1941 เขาก็เตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยทหารบกในปีรุ่งขึ้น ในช่วงนั้น นอกจากวิชามวยจีนขั้นพื้นฐานของอาจารย์ลี้แล้ว เขายังเริ่มฝึกคาราเต้สาย โชโตคังอีกด้วย โรงเรียนนายร้อยทหารบกมีที่ตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว โอยาม่าไป เข้าสอบเพื่อหวังจะได้เป็นนายทหารซึ่งเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก แต่คราวนี้เขา กลับสอบตกอย่างไม่เป็นท่า เขาจึงเรียนที่คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยตะคุโชคุ แทนและถือโอกาสเรียนวิชาคาราเต้สายโชโตคังต่อด้วย แต่การฝึกคาราเต้ ของโอยาม่าดำเนินต่อไปได้ไม่นานนัก สถานการณ์สงครามโลกที่ญี่ปุ่น ประกาศศึกกับอเมริกาตั้งแต่ปีกลาย ก็เข้ามามีผลกระทบต่อโอยาม่าอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ อันที่จริงสถานการณ์การสู้รบของญี่ปุ่นเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ตั้งแต่ภายหลังวันที่ 5 เดือนมิถุนายน ปี ค.. 1942 ที่เรือรบบรรทุกเครื่องบิน ของญี่ปุ่น 4 ลำ ต้องจมลงทะเลในศึกทะเลมิดเวย์ที่พ่ายแพ้ต่อสหรัฐแล้ว แต่ ข่าวคราวนี้ทางการไม่ได้แจ้งให้ประชาชนทราบ เพราะฉะนั้นโอยาม่าจึงยัง เชื่อมั่นไม่เสื่อมคลายว่าญี่ปุ่นจะต้องไม่แพ้อย่างแน่นอน... ในเดือนตุลาคม ปี 1943 ทางการญี่ปุ่นเริ่มเกณฑ์เยาวชนที่มีอายุยี่สิบออกไปรบ แม้ว่ายังเป็น นักศึกษาอยู่ก็ตามโอยาม่าก็ถูกเกณฑ์ด้วย คราวนี้เขาถูกส่งไปประจำที่กอง กำลังทหารอากาศที่จังหวัดจิบะเพราะเขาเคยเรียนช่างทหารอากาศมาก่อน

        เมื่อย่างเข้าปี 1944 สถานการณ์สู้รบในมหาสมุทรแปซิฟิคตอนกลาง ญี่ปุ่นได้พ่ายแพ้ต่ออเมริกาไปแล้ว จนในที่สุดญี่ปุ่นเองหันมาใช้ไม้ตายคือตั้ง หน่วยบินคามิคาเซะ”...  เช้าวันหนึ่งของเดือนมีนาคม ปี 1944 หัวหน้าทหาร และเป็นอาจารย์ของโอยาม่าได้เรียกเขาไปพบ

         “โอยาม่า เธอเคยยุ่งกับผู้หญิงหรือยัง

         “ยังครับ หัวหน้า

         “ตกลง ถ้าเช่นนั้นเย็นนี้ฉันจะพาเธอไปขึ้นครู

        ตอนนั้นโอยาม่ายังไม่รู้หรอกว่า นั่นเป็นความปรารถนาดีที่หัวหน้า ของเขามีต่อเขา คือต้องการให้เขารู้จักความสุขทางเพศสักครั้งก่อนที่เขาจะถูก มอบหมายให้เป็นนักบินกล้าตายหน่วยคามิคาเซะ” !

        หน่วยกล้าตายคามิคาเซะที่โอยาม่าสังกัดอยู่นั้นมีหน้าที่ต่อกรกับเรือรบ B29 ของสหรัฐ  วิธีการก็คือบินตามหลังเรือรบ B29 ก่อนที่จะบินแซง แล้วหมุนตัวขับเครื่องบินพุ่งเข้าชนซึ่งๆ หน้า แผนปฏิบัติการนี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 25 เดือนตุลาคม ค..1944 ทุกๆ วันนับตั้งแต่วันนั้นพรรคพวกเพื่อนๆ ของโอยาม่าจะต้องออกไปปฏิบัติการอันนี้ ตอนเช้าทานอาหารเช้าร่วมกัน แต่ตอนเย็นจะต้องมีบางคนที่ไม่ได้กลับมาอีกเลย โอยาม่านั่งเฝ้าดูเก้าอี้ว่าง ในโรงอาหารที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน  พร้อมกับคำนึงอยู่ในใจเสมอว่ารอก่อนนะ พรรคพวกอีกไม่นานกูก็จะตามไปสมทบด้วย

        ในหน่วยคามิคาเซะเดียวกันนี้ โอยาม่ามีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งชื่อ อิโนะอุเอะ เพราะเขาเป็นเพื่อนไม่กี่คนที่ไม่รังเกียจว่าโอยาม่ามาจากแมนจู และเกาหลี ก่อนที่จะถึงกำหนดการที่อิโนะอุเอะออกไปปฏิบัติการไม่นานนัก เขาได้ชวนโอยาม่าไปทานอาหารเย็นด้วยกันกับครอบครัวของเขาที่บ้านและ อิโนะอุเอะได้เอ่ยปากพูดกับโอยาม่าว่า

          “เพื่อนรัก กันขอฝากเพื่อนดูแลน้องสาวคนเดียวของกันแทนตัวกัน ด้วยนะ

          “ดูแลหรือ?”

          “ใช่แล้ว เพราะกันชื่นชมในตัวเพื่อนมากที่เป็นคนเข้มแข็ง ขอให้เพื่อน รับน้องสาวของกันเป็นภรรยาด้วยเถอะนะ

          นี่แสดงว่า อิโนะอุเอะเตรียมใจที่จะตายแล้ว เขาถึงเอ่ยปากกับโอยาม่า เช่นนั้น น้องสาวของอิโนะอุเอะเป็นเด็กสาวหน้าตาน่าเอ็นดู อายุเพิ่ง 15 ปี เท่านั้น เอง ขณะนั้นเป็นช่วงเดือนมีนาคม ปี ค.. 1945 กองทัพสหรัฐได้ส่งเครื่องบิน มาทิ้งระเบิดที่กรุงโตเกียวแล้วในคืนก่อนที่อิโนะอุเอะจะออกไปปฏิบัติการ

          ในวันรุ่งขึ้น เขาได้พูดกับโอยาม่าว่ามีทางที่พวกเราจะรอดหรือเปล่า หนอ

         โอยาม่าได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองไม่ให้พูดออกไปว่า ไม่มีทางรอดหรอก นอกจากพวกเราจะชนะสงครามเท่านั้น แต่แล้วเขาก็พูดคำพูดประโยคนั้น ออกไปจนได้

          “ยังงั้นหรืออิโนะอุเอะเริ่มปลงตกเสียแล้ว

          “อย่าวิตกไปเลยเพื่อน อีกไม่นานเราก็ได้เจอกันที่โลกหน้าแล้วนี่ เพราะมิตรภาพระหว่างเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงทั้งในชาตินี้หรือชาติหน้า

        เช้าวันรุ่งขึ้น อิโนะอุเอะออกไปปฏิบัติการและก็มิได้กลับมาอีกเลย เพื่อนๆ คนอื่นของเขารวมทั้งอาจารย์ที่เคยเมตตาสั่งสอนเขาก็ไม่ได้กลับมา อีกเช่นกัน ส่วนโอยาม่าก็รอวันที่ตัวเองจะไปตายด้วยการทุ่มเทให้กับการฝึก คาราเต้  ในที่สุดวันที่เขาจะต้องออกไปปฏิบัติการก็ถูกกำหนดลงมาจากเบื้องบน คือวันที่ 15 เดือนสิงหาคม ค..1945




ตอนที่
3 ผู้แพ้ที่ไม่ยอมแพ้



วันที่ 15 เดือนสิงหาคม ค.. 1945 วันนั้นโอยาม่าตื่นเช้ากว่าวันปกติ เพราะเขารู้ว่าวันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องออกไปปฏิบัติการคามิคาเซะก่อนจะ ออกไปปฏิบัติการเขาจึงแต่งชุดคาราเต้ที่เขารักและผูกพันออกรำคาตะหรือกระบวนท่าคาราเต้ที่เขาได้ร่ำเรียนมาจากสำนักโชโตคัง โดยหมายมั่นให้มัน เป็นการฝึกคาราเต้เป็นครั้งสุดท้ายบนโลกนี้ของเขา แม้ในใจเขายังอดเสียดาย ไม่ได้ที่ตัวเขายังไม่มีโอกาสได้ทดสอบฝีมือของตนมากเท่าที่ควร เขายังอยาก มีโอกาสที่จะได้ลองประมือกับคนเก่งๆ ที่คงมีอยู่ในโลกนี้อีกมาก แต่เพื่อชาติ  เพื่อชัยชนะแห่งสงครามของประเทศญี่ปุ่น เขาจึงจำต้องละทิ้งความใฝ่ฝัน ส่วนตัวอันนี้ของตัวเองไปเสีย

        หลังจากฝึกคาราเต้เสร็จ และอาบน้ำ แต่งตัว ทานอาหารแล้ว เขาก็ เตรียมตัวที่จะไปขึ้นเครื่องบินรบตามที่ได้รับมอบหมายมา แต่ในไม่ช้าเขาก็รู้สึก ถึงความผิดปกติในบรรยากาศรอบๆตัวเขา ที่ผู้คนพูดจากันเซ็งแซ่เป็นพิเศษ ไม่สมกับที่เป็นค่ายทหารเลย เขาจึงถามเพื่อนคนหนึ่งของเขาที่มีกำหนดการ จะออกไปปฏิบัติการพร้อมกันในวันนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนของเขาบอกว่า ได้ฟังมาว่าเที่ยงวันนี้จะมีแถลงการณ์ทางวิทยุจากสมเด็จจักรพรรดิ์ขอให้ ทุกคนตั้งใจฟังกันให้ดี

        ในตอนแรก โอยาม่ายังนึกว่าจะได้ฟังคำให้กำลังใจจากจักรพรรดิ์ ให้มุ่งมั่นต่อสู้ต่อไปเลย แต่เสียงของจักรพรรดิที่ออกมาจากวิทยุในตอนเที่ยง นั้นถึงกับทำให้เขาช็อก เพราะจักรพรรดิทรงประกาศยอมรับการพ่ายแพ้โดย ดุษฎีแล้ว เพื่อนๆ ของเขาหลายคนถึงกับปล่อยโฮในความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น ตัวเขาไม่ร้องไห้แต่ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นมาในใจเขานั้นกลับเป็นผมขอโทษ”  ขอโทษต่อใคร? ก็ขอโทษต่อเพื่อนๆ ของเขาที่ตายไปก่อนล่วงหน้าแล้วและ เขาได้สัญญาว่าจะตามไปสมทบโดยเร็ว เขาเสียใจที่ตัวเองกลับมีชีวิตรอด ขณะที่พรรคพวกเขาได้ตายไปตั้งหลายคนแล้ว

        ในตอนแรกเขาคิดจะฆ่าตัวตายตามไป แต่ถ้าจะฆ่าตัวตายธรรมดา ก็รู้สึกว่ามันยังไม่คู่ควร เขาควรจะเอาชีวิตของชาวอเมริกันที่เป็นข้าศึกสัก คนสองคนตามไปสังเวยวิญญาณของพรรคพวกเขาด้วย แล้วเขาควรเอาชีวิต ชาวอเมริกันคนไหนดีเล่า? ขณะนั้นเองมีเพื่อนของเขาสี่ห้าคนมาปรึกษาว่าจะ ใช้แผนการปฏิบัติการคามิคาเซะถล่มนายพลแมคอาเธอร์ให้ตายตกไปตามกัน ไม่ทราบว่าเขาจะร่วมด้วยหรือไม่ โอยาม่าตอบตกลงโดยวางแผนว่าเมื่อ นายพลแมคอาเธอร์เดินทางมาถึงญี่ปุ่นในวันที่ 30 สิงหาคม พวกเขาจะนำ เครื่องบินรบคามิคาเซะออกไปชนเครื่องบินที่นายพลแมคอาเธอร์นั่งมาและ กำลังจะจอดอยู่บนสนามบิน แต่แผนปฏิบัติการนี้กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะ ความลับรั่วไหลออกไปก่อน พวกโอยาม่าถูกสารวัตทหารควบคุมตัวเสียก่อน ในวันที่ 25 เดือนสิงหาคม

        “คุณจับพวกผมทำไม พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดนะแต่เรากำลังทำ เพื่อชาติ

        “อย่าปฏิเสธนะว่า  พวกเธอไม่ได้คิดจะใช้เครื่องบินพุ่งเข้าชนนายพล แมคอาเธอร์

         “- - -“

     “ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกเธอดีพวกเธอไม่คิดหรือว่าตัวฉันก็แค้น ใจเหมือนพวกเธอเช่นกัน แต่เธอลองไตร่ตรองให้ดีๆ สิว่า ถึงเธอฆ่านายพล แมคอาเธอร์ไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง? เพราะญี่ปุ่นแพ้สงครามไปแล้วและ พวกเธอรู้หรือไม่ว่าหากนายพลแมคอาเธอร์ถูกพวกเธอสังหารกรุงโตเกียวจะ ต้องถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณูอย่างแน่นอน พวกเธอรู้หรือเปล่าว่าลูกระเบิด ปรมาณูนั้นเป็นอย่างไร?”

        “ไม่ทราบครับ

        “มันเป็นระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรงมากและได้ถล่มเมืองฮิโรชิม่า กับเมืองนางาซากิจนราบคาบไปแล้วภายในชั่วพริบตาเดียว ถ้าหากระเบิดลูกนี้ ตกลงมาที่กรุงโตเกียวนี่เล่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้พวกเธอจงคิดดูให้ดีๆนะ เพราะฉะนั้นเพื่อเห็นแก่สมเด็จจักรพรรดิและประชาชนของเรา ฉันจึงขอร้องให้ พวกเธอล้มเลิกความคิดที่จะลอบสังหารนายพลแมคอาเธอร์เสียเข้าใจมั๊ย

 

           โอยาม่าผู้รอดพ้นความตายมาอย่างเฉียดฉิว ถูกนำตัวเข้าไปสงบสติ อารมณ์อยู่ในห้องขังเป็นเวลาอาทิตย์กว่า ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกมาในวันที่  2 กันยายน ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นลงนามยอมรับความพ่ายแพ้ในสงครามบน เรือรบมิซูรี่ของสหรัฐแล้ว ในระหว่างที่โอยาม่าอยู่ในห้องขังนั้นเขาเฝ้าแต่ถาม ตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าแล้วต่อไปในภายภาคหน้าตัวเราสมควรมีชีวิตอย่างไร ดี?” เพราะความใฝ่ฝันทั้งปวงในวัยเด็กของเขามันได้สลายไปพร้อมๆ กับการ พ่ายแพ้สงครามหมดแล้ว สิ่งที่เขาหลงเหลืออยู่ในขณะนี้กลับมีแต่ความอับอาย ดุจคนขี้ขลาดตาขาวที่มีชีวิตรอดตายจากสงครามกลับมาเท่านั้น

        และแล้วเขาก็นึกได้ว่า อิโนะอุเอะเพื่อนรักของเขาที่ตายจากไปแล้ว ได้ฝากฝังตัวเขาให้ดูแลน้องสาวของเขาแทนเขาด้วย โอยาม่าจึงตรงไปที่บ้าน ของอิโนะอุเอะที่เขาเคยมาเที่ยวสองสามครั้ง แล้วเขาก็พบกับความประหลาด ใจอีกครั้งที่บ้านของครอบครัวอิโนะอุเอะได้อันตรธานหายไปแล้ว เมื่อเขาไป สอบถามเพื่อนบ้านแถวนั้นก็ได้ความว่าบ้านของอิโนะอุเอะถูกถล่มด้วยระเบิด จากเครื่องบินของสหรัฐจนพังพินาศหมดและผู้คนภายในบ้านหลังนั้นก็ตาย หมดไม่เหลือชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว โอยาม่าเดินผ่านซากปรักหักพังของก้อนอิฐอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่เพียงแต่บ้านเรือนเท่านั้นหรอกที่ต้องแตก สลายกลายเป็นเศษอิฐ เศษหิน แม้แต่ชีวิตของเขาเองที่สั่งสมสร้างตนขึ้นมา ตั้งแต่เด็กก็แตกสลายกลายเป็นชิ้นๆ ไปพร้อมกับบ้านเรือนเหล่านั้นด้วย

        ไม่ช้าท้องของโอยาม่าก็เริ่มร้องจ๊อก ๆ  เพราะแม้คนเราจะตกอยู่ใน ห้วงแห่งความสิ้นหวังยังไงก็ตามมนุษย์ก็ยังต้องหิวโหยอยู่ดี เขาจึงแวะไปซื้อ ข้าวต้มซึ่งชายแก่คนหนึ่งเข็นรถเข็นนำมาขายที่มุมของตลาดมืดแห่งหนึ่งพอ กินข้าวต้มชามนั้นไปได้ไม่กี่คำเท่านั้นโอยาม่าถึงกับต้องคายทิ้งเพราะในชาม ข้าวต้มชามนี้มีก้นบุหรี่เข้ามาปะปนอยู่ด้วย เมื่อเขาต่อว่าคนขายเขากลับถูก ตอกกลับมาอย่างไม่ยี่หระจากคนขายว่า

        “ข้าวต้มเหล่านี้ล้วนทำมาจากเศษอาหารเหลือทิ้งของพวกทหาร อเมริกันที่ข้าอุตส่าห์บากหน้าไปขอพวกเขามา อย่าบ่นมากเลยมีให้กินก็ถือว่า บุญโขแล้วนะพ่อหนุ่ม

        โอยาม่าขว้างชามข้าวต้มใบนั้นทิ้งลงกลับพื้นไม่ยอมกินต่อแล้วเดิน จากไปในทันที แม้ใจเขายังมีความทรนงจองหองอยู่ก็ตามแต่เนื่องจากเขาไม่มี ญาติมิตรคนรู้จักเลยที่พอจะอาศัยพึ่งพาได้ในญี่ปุ่น เพื่อไม่ให้ตัวเขาอดตายเขา จึงดิ้นรนทำอะไรสักอย่างเพื่อความอยู่รอด มีบางครั้งที่เขาเคยคิดเป็นขโมยหรือ โจรเหมือนกัน แต่ผู้ที่หัดคาราเต้จนมีฝีมือค่อนข้างสูงแล้วอย่างเขาย่อมไม่อาจ ลดตัวไปทำเรื่องที่เสื่อมเสียเช่นนั้นได้

        ในที่สุด เขาก็เลยคิดที่จะใช้วิชาคาราเต้ของเขาเป็นเครื่องหากินโดย ไปโชว์ความสามารถในการใช้สันมือฟันอิฐให้หักต่อคนที่ท่าทางพอมีเงินอยู่ โดยขอให้ผู้นั้นรับปากว่าถ้าเขาฟันอิฐหักเป็นสองท่อนได้แล้วจะต้องพาเขา ไปเลี้ยงข้าว

        โอยาม่าใช้ชีวิตดุจวณิพกเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง เขาก็ได้มีโอกาสไปรู้จัก อดีตนักการเมืองขวาจัดผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า สุยิ เคนอิจิ ซึ่งแนะนำให้โอยาม่าไปพัก อยู่กับเพื่อนของเขาชั่วคราวในต่างจังหวัด  โอยาม่าพักอยู่ที่ต่างจังหวัดเป็นเวลา สองเดือนก่อนที่จะกลับมากรุงโตเกียวอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียว กันเพื่อมาฟังการปาฐกถาทางการเมืองของ สุยิ เคนอิจิ ที่จะมีขึ้นที่ ฮิบิย่า ฮอล ในตอนเย็น

        เย็นวันนั้น ขณะที่โอยาม่าเดินผ่านสวนสาธารณะฮิบิย่าเพื่อจะตัด ผ่านไปยังฮิบิย่าฮอล เขาได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยจากสตรีญี่ปุ่นคนหนึ่งที่กำลัง ถูกทหารอเมริกันสองคนร่างยักษ์กำลังทำมิดีมิร้าย เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ความแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในอกของโอยาม่าที่มีต่อคู่อริสงครามเก่าก็ปะทุขึ้นมา อีกครั้ง โอยาม่าย่องเข้าไปทางข้างหลังทหารอเมริกันผิวขาวผู้กำลังถอด กางเกงลงใช้มือซ้ายของเขาจับที่ไหล่ซ้ายของทหารผู้นั้นพอเขาเหลียวมา โอยาม่าปล่อยหมัดขวาเข้าไปที่ใบหน้าของทหารผิวขาวผู้นั้นเต็มเหนี่ยวจน หมอนั่นกระเด็นไปเกือบ 3 เมตร แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้หมอบได้ภายในหมัด เดียวต้องตามด้วยหมัดที่สองถึงจะเอาอยู่ พร้อมกันนั้นโอยาม่าก็ใช้เท้าขวา ของเขาถีบไปข้างหลังโดนทหารผิวดำอีกคนหนึ่งที่ย่องจะเข้ามาทำร้ายเขาและ ตามติดด้วยเตะผ่าหมากจากเท้าซ้ายทหารผิวดำคนนั้นถึงกับน้ำลายฟูมปาก หงายหลังไปเลย

        ประสบการณ์ที่โอยาม่าได้ช่วยสตรีญี่ปุ่นให้รอดพ้นจากการลวน- ลามของทหารอเมริกันในวันนั้นได้สร้างความลิงโลดและคึกคะนองให้แก่ โอยาม่าสองประการคือ หนึ่ง เขาสามารถล้มอดีตคู่อริสงครามที่เป็นทหาร อเมริกันระบายความแค้นที่พ่ายแพ้สงครามซึ่งยังแน่นอยู่ในอกได้ สอง เขา สามารถใช้วิชาคาราเต้ของเขาโค่นล้มคนที่ร่างใหญ่กว่าตนเกือบเท่าตัวเพื่อ พิทักษ์ความเป็นธรรมได้ ความลิงโลดที่ได้มาในเย็นวันนั้นได้ทำให้วิถีชีวิต ของโอยาม่าเปลี่ยนไปอีกครั้ง


              เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในเย็นวันนั้น โอยาม่ายังมีความคิดที่จะ พึ่งพาความช่วยเหลือของคนอื่นอย่าง สุยิ เคนอิจิ เพื่อการยังชีพและเพื่อ ความก้าวหน้าในอนาคต แต่เขาก็มักถามตนเองอยู่เสมอว่าการมีชีวิตโดยยืม จมูกคนอื่นหายใจอยู่เช่นนี้เป็นทางของเขาแน่หรือ? แต่ภายหลังจากที่เขา ใช้วิชาคาราเต้โค่นทหารอเมริกันตัวใหญ่ล้มลงถึงสองคนภายในชั่วเวลาไม่ถึง หนึ่งนาที โอยาม่าก็ค้นพบตัวเองเจออีกครั้งว่าทาง”  ที่แท้จริงของเขานั้นมีแต่ วิถีแห่งคาราเต้นี้เท่านั้น  เขาจึงตัดสินใจไม่ย้อนกลับไปหา สุยิ เคนอิจิ อีกแต่เลือก ที่จะดิ้นรนมีชีวิตอยู่เองตามลำพังด้วยการล่าเหยื่อดุจเสือร้ายตัวหนึ่ง แต่เหยื่อที่ เขาล่านี้คือทหารอเมริกันเท่านั้น !

        เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อโอยาม่ากำลังเดินไปที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่งเขาแล เห็นเด็กญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งกรูเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังทหารอเมริกันเพื่อ ขอขนมช็อกโกแลตกินขณะที่ทหารอเมริกันผู้นั้นเอาขนมช็อกโกแลตโปรยลง บนพื้นให้พวกเด็กๆ แย่งกันเก็บกิน ภาพที่โอยาม่าแลเห็นนั้นสร้างความโกรธ แค้นให้แก่ตัวเขามาก

        “ไอ้พวกแยงกี้นี่ ทำกับคนญี่ปุ่นราวกับเป็นสุนัขตัวหนึ่งอย่างั้นแหละ ถึงญี่ปุ่นจะแพ้สงครามก็จริงแต่ข้าโอยาม่า มะสุทัทสุ หาได้ยอมแพ้พวกทหาร อเมริกันด้วยไม่ ถึงตัวข้าจะเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่อาจสร้างความสั่นสะเทือน ให้กับสหรัฐอเมริกาได้ก็จริง แต่อย่างน้อยพวกทหารอเมริกันที่นี่มันจะต้องได้ ลิ้มรสพิษสงของข้าดูบ้างแม้จะเพียงไม่กี่คนก็ตาม

        โอยาม่าเลือกไปในสถานที่ที่พวกอเมริกันชอบเที่ยวผู้หญิงโดยเขา แอบซุ่มในตรอกซอยมืดๆ คอยดักทำร้ายพวกทหารอเมริกันที่หิ้วผู้หญิงเดิน  ผ่านมา โอยาม่าดำเนินการปฏิบัติการเช่นนี้ในช่วงนั้นเกือบทุกวันมิได้ขาดโดย เปลี่ยนสถานที่ซุ่มโจมตีไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามจับร่องรอยได้ ในตอน แรกที่โอยาม่าดักซุ่มทำร้ายทหารอเมริกันด้วยวิชาคาราเต้ของเขานั้น เขาไม่เคย แตะต้องทรัพย์สินเงินทองของฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด แต่พอมาถึงจุดหนึ่งการ ได้เงินด้วยเพื่อมาประทังความหิวโหยก็หาใช่สิ่งผิดในสายตาของโอยาม่าไป เสียแล้ว เพราะบัดนี้โอยาม่าได้กลายมาเป็นฮีโร่หรือขวัญใจของพวกแก๊ง อันธพาลชาวญี่ปุ่นที่เกลียดขี้หน้าพวกทหารอเมริกันในละแวกนั้นไปแล้ว

        วันหนึ่ง หัวหน้าแก๊งยากูซ่ากลุ่มหนึ่งที่ชื่อ คุโรดะ ได้ให้ลูกน้องไปเชิญ โอยาม่ามาพบกับเขาที่ภัตตาคารหรูหราแห่งหนึ่งเพื่อขอร้องให้โอยาม่ามาเป็นบอดี้การ์ดให้เขาหรือต่อสู้กับคนอื่นตามที่เขาขอร้องให้ทำ ขณะนั้นโอยาม่ามี ความมั่นใจในฝีมือของตนเต็มเปี่ยมว่าสามารถต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่มือเปล่าด้วย กันราวๆ สิบคนได้สบาย จึงรับปากคุโรดะว่าจะเป็นบอดี้การ์ดให้เพราะดีกว่า ใช้ชีวิตเร่ร่อนดุจสุนัขป่าไปวันๆ เมื่อโอยาม่ากลายมาเป็นบอดี้การ์ดให้กับ แก๊งคุโรดะ แก๊งยากูซ่ากลุ่มอื่นที่เป็นคู่อริของคุโรดะย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา จึงพยายามหาทางรุมเก็บโอยาม่าด้วยมีดและดาบ แต่โอยาม่าก็รอดชีวิตมาได้ อย่างหวุดหวิดแม้จะได้รับบาดเจ็บที่ขาก็ตาม

        หลังจากที่บาดแผลที่ขาของโอยาม่าหายสนิทแล้วคุโรดะได้ขอร้องให้โอยาม่าไปจัดการสั่งสอนชายคนหนึ่งที่ชื่อ ไคอองเดรา เมื่อเผชิญหน้ากัน ไคอองเดร่าได้กล่าวกับโอยาม่าว่า

         “คุณโอยาม่าก่อนที่คุณจะจัดการกับผมนั้นโปรดฟังผมชี้แจงก่อน จะได้ไหมครับ

         “ถ้าผมฟังคุณชี้แจงแล้ว ผมทำร้ายคุณไม่ลงหรอกครับ

        แต่แล้ว โอยาม่าก็ฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงจากไคอองเดร่าจนได้เขาจึง ได้รู้ความจริงว่าคุโรดะไม่เพียงแต่แย่งชิงเงินทองไปจากไคอองเดร่าเท่านั้นแต่ ยังได้แย่งภรรยาของไคอองเดร่าไปเป็นนางบำเรอของตนด้วย โอยาม่าถึงเริ่ม รู้สึกตัวและสำนึกว่าตัวเขาเองกำลังเดินทางผิดกลายเป็นเครื่องมือให้กับคน ชั่วไปเสียแล้ว

        “เราเคยตั้งปณิธานไว้ว่าเรายอมตายไม่เสียดายชีวิตถ้าหากเรา กระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แต่ดูเหมือนว่าการเป็นบอดี้การ์ดของเราในครั้งนี้ เราได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดทางมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงเข้าแล้ว

        โอยาม่าจึงตัดสินใจเลิกอาชีพเป็นบอดี้การ์ด ให้แก่คุโรดะตั้งแต่วันนั้น  แล้วหันมายึดอาชีพเป็นคนลากรถแทน

 


ตอนที่ 4 ปณิธานคาราเต้


.....ปลายปี ค.. 1946 

        ภายหลังจากที่ทหารอเมริกันโดนโอยาม่าดักซุ่มทำร้ายเป็นจำนวน หลายสิบรายแล้ว ทำให้ทางการสหรัฐที่ประจำอยู่ในกรุงโตเกียวเริ่มเอาจริง เอาจังกับเรื่องนี้ เพราะเดี๋ยวนี้ทหารอเมริกันไม่กล้าออกไปไหนตอนกลางคืน เพียงคนเดียวหรือสองสามคนแล้ว ทางการสหรัฐรู้แต่เพียงเลาๆว่าตัวการที่ลอบโจมตีทหารอเมริกันนั้นแม้จะทำร้ายทหารอเมริกันแต่ก็ไม่เคยฆ่าแม้แต่ รายเดียวนอกจากยึดปืนพกและทรัพย์ไปเท่านั้น ส่วนผู้หญิงที่ทหารอเมริกัน ควงด้วยก็ไม่เคยแตะต้องเลย ความจริงทางฝ่ายตำรวจญี่ปุ่นก็พอรู้หรอกว่าตัวการที่ว่านั้นคือใครแต่เท่าที่ผ่านมาตำรวจญี่ปุ่นมักจะทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสียเป็นส่วนใหญ่จนฝ่ายทางการสหรัฐต้องบีบบังคับให้ฝ่าย ตำรวจญี่ปุ่นให้ความร่วมมือในการล่าตัวคนร้ายคนนี้ให้ได้ด้วย ผลสุดท้าย โอยาม่าก็อยู่ในกรุงโตเกียวต่อไปอีกไม่ได้เพราะทางการได้ออกหมายจับตัวเขา ไปทั่วกรุงแล้ว เขาจึงถือโอกาสนี้หนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัด ยามานาชิเป็นการชั่วคราวโดยมีผู้ใหญ่บางคนที่ชื่นชมในความกล้าระห่ำ ของเขาให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

        ช่วงนั้นเองเป็นเวลาเดียวกับที่โอยาม่าได้อ่านนิยายมิยาโมโต้ มูซาชิของโยชิคาว่า เอญิ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนั้นมากจนตัดสินใจ ที่จะใช้ช่วงเวลาที่หลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาทำการฝึกฝนคาราเต้และพัฒนาจิตใจ ของตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย เพราะตัวเขาก็ได้สำนึกเหมือนกันเกี่ยวกับพฤติ- กรรมที่ผ่านมาของตนว่า แม้ตัวเขาจะมีพลังภายนอกที่แกร่งกร้าวก็จริงแต่ จิตใจของเขาก็ยังเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถควบคุมมันได้ดีทำให้ง่ายต่อการเดิน ผิดทางอยู่บ่อยๆ... ก่อนขึ้นภูเขาเขาได้รับคำแนะนำจากพระเซนรูปหนึ่งให้ ทดลองฝึกนั่งเซนดูด้วยการนั่งเพ่งรูปวงกลมที่เขียนด้วยพู่กันบนกระดาษ ขาวแล้วนำไปติดกับกำแพง โอยาม่าปฏิบัติตามคำแนะนำอันนี้โดยตั้งปณิธาน เอาไว้ว่าตราบใดที่ยังไม่กระจ่างใจในความหมายของการเพ่งวงกลมเขาจะ ไม่ยินยอมฝึกร่างกายและคาราเต้ต่อเป็นอันขาด

        ในช่วงเวลาเกือบห้าเดือนนับตั้งแต่ที่โอยาม่าหัดนั่งเพ่งวงกลมอยู่ บนวัดแห่งหนึ่งบนภูเขาที่เขาไปหลบซ่อนตัวอยู่นั้น นอกจากนั่งอ่านหนังสือที่ เกี่ยวกับศาสนาพุทธแล้วเวลาส่วนใหญ่ของเขาต่างทุ่มเทไปกับการฝึกนั่งเพ่ง วงกลมบนกระดาษนี้ทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังไม่ถึงบางอ้อเสียทีว่าปริศนาธรรมของวงกลมนี้หมายถึงอะไรกันแน่ จนกระทั่งวันหนึ่งโอยาม่าได้อ่านไปเจอ หนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับวิถีของ หยิน-หยาง ในตอนหนึ่งได้กล่าวถึง สิ่งที่ผูกมัดจิตใจคนเอาไว้ว่า

        เมื่อใดก็ตามที่เราให้ชื่อหรือตั้งชื่อเฉพาะแก่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้น จะเป็นสิ่งใดก็ตามเมื่อนั้นสิ่งนั้นก็จะถูกจำกัดโดยชื่อนั้นๆ เพราะการให้ชื่อหรือ ตั้งชื่อได้ทำให้เสรีภาพของสิ่งนั้นหมดลงไปด้วย สิ่งที่อยู่นอกเหนือนิยามของ มนุษย์จึงเป็นสิ่งที่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง

        เมื่ออ่านถึงตรงนี้ เขาถึงกับตบเข่าตัวเอง  แล้วรีบกลับไปเพ่งดูดวงกลม บนกระดาษที่ติดอยู่บนกำแพงอีกครั้ง

        เส้นสีดำเป็นตัวแบ่งกระดาษสีขาว พอวาดวงกลมขึ้นมาสิ่งที่อยู่ ภายในวงกลมจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกจำกัดขอบเขตขึ้นมาในทันทีทันใด  ในขณะที่ สิ่งที่อยู่นอกวงกลมนั้นกลับไร้ของเขต โอ...ที่ผ่านมาเรามัวแต่ไปงมโข่งหลงอยู่ ภายในวงกลมเสียนาน ตัวเราจึงไม่อาจพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้เท่าไหร่ กำแพงที่กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตของเรานั้นที่แท้ก็คือเจ้าวงกลม อันนี้นั่นเอง  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำเป็นประการแรกคือต้องออกจากวงกลม อันนี้ให้ได้เสียก่อนตัวเราถึงจะสามารถค้นพบความเป็นไปได้อันไร้ขอบเขตได้

        เมื่อโอยาม่าเข้าใจตามได้เช่นนั้นแล้วจิตใจของเขาก็โปร่งโล่งขึ้นมา ทันที ความลังเลสงสัยกระวนกระวายไม่แน่ใจตลอดช่วงห้าเดือนที่ผ่านมานี้ หายสิ้นไปจากจิตใจ จากนั้นโอยาม่าก็เริ่มต้นฝึกความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ของตนใหม่โดยตั้งเป้าที่จะให้พลังภายนอกของเขาแข็งแกร่งจนผิดมนุษย์ให้จงได้



        

วิธีการฝึกพลังภายนอกในเชิง ยอดคน ของโอยาม่าในช่วงนั้นเป็น ดังต่อไปนี้ ก่อนอื่นเขาฝึกวิดพื้นอย่างต่อเนื่องโดยใช้ฝ่ามือทั้งสองยันพื้นจน ครบร้อยทีให้ได้เสียก่อนซึ่งสิ่งนี้เขาทำได้เลยตั้งแต่ครั้งแรก จากนั้นตัวเขาก็ เปลี่ยนไปหัดวิดพื้นโดยใช้นิ้วทั้งห้ายันพื้นเอาไว้อย่างต่อเนื่องจนครบหนึ่งร้อยที เช่นกันซึ่งเรื่องนี้โอยาม่าก็ทำได้ไม่ยากนัก แต่ในขั้นต่อไปที่โอยาม่าได้พยายาม ที่จะลดจำนวนนิ้วที่ใช้ยันพื้นเป็นข้างละสี่นิ้วแล้ววิดพื้นต่อเนื่องเป็นจำนวน หนึ่งร้อยครั้งนั้น เขาต้องใช้เวลาฝึกนานถึงหนึ่งเดือนเต็มกว่าจะทำเช่นนั้นได้ และในขั้นต่อมาคือการฝึกวิดพื้นโดยลดจำนวนนิ้วที่ยันพื้นเหลือแค่ข้างละ สามนิ้วนั้นโอยาม่าฝึกวิดได้ต่อเนื่องเป็นจำนวนห้าสิบครั้ง




        ในอีกสองเดือนต่อมา ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูร้อนของปี ค..1957  ขณะที่ เขากำลังจะเริ่มฝึกวิดพื้นจากท่าใช้เท้าชี้ฟ้าโดยใช้นิ้วข้างละสามนิ้วยันพื้นต่อ นั้นก็พอดีมีคนรู้จักกับวัดที่เขาไปอาศัยหลบซ่อนตัวอยู่บนเขานำหนังสือพิมพ์ มาให้เขาอ่าน พร้อมกับบอกว่าอีกไม่นานก็จะมีการแข่งคาราเต้ทั่วประเทศเป็น ครั้งแรกหลังสงครามที่เมืองเกียวโตซึ่งเขาน่าจะไปร่วม  โอยาม่ารับฟังข่าวนี้ด้วย ความตื่นเต้นเพราะการแข่งขันครั้งนี้กำลังจะมีขึ้นภายหลังจากที่เขาขึ้นภูเขา หมกตัวฝึกฝนวิชาเป็นเวลาถึงแปดเดือนเต็มพอดี ราวกับว่าการแข่งขันนี้จัดขึ้น เพื่อตัวเขาโดยแท้ โอยาม่าจึงตัดสินใจลงจากภูเขาตรงดิ่งไปเมืองเกียวโตเพื่อ เข้าร่วมในการแข่งขันคาราเต้ทั่วประเทศทันที โอยาม่าไม่ห่วงเรื่องที่ตัวเขาถูก ออกหมายจับที่กรุงโตเกียวเพราะสมัยนั้นการสื่อสารยังไม่ทันสมัยและรวดเร็ว นอกจากนี้เกียวโตกับโตเกียวก็อยู่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตร

        การแข่งขันคาราเต้มีขึ้นในต้นเดือนกันยายน มีนักคาราเต้เข้าร่วม แข่งขันทั้งหมดสี่สิบเก้าคนด้วยกันเมื่อรวมโอยาม่าเข้าไปด้วยที่ไปถึงเมือง เกียวโตในวันแข่งขันพอดีและลงสมัครแข่งขันเป็นคนสุดท้ายที่บริเวณหน้า สนามแข่งขันนั่นเอง... วิธีแข่งขันแยกออกเป็นสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือ การแข่งฟันกระเบื้อง  ถ้าหากผู้แข่งขันสามารถฟันกระเบื้องหักเป็นจำนวนเกิน กว่าจำนวนขั้นต่ำที่กำหนดไว้ได้แล้วจึงจะมีสิทธิไปแข่งขันในส่วนที่สองซึ่ง เป็นการประลองตัวต่อตัวได้ จำนวนขั้นต่ำที่นักคาราเต้ที่เข้าแข่งขันจะต้องฟัน กระเบื้องให้หักคือแปดแผ่น ถ้าฟันได้ต่ำกว่านั้นจะสอบตกทันที แต่ถ้าฟันได้ มากกว่าแปดแผ่นขึ้นไปก็จะได้คะแนนเพิ่มขึ้นแผ่นละหนึ่งแต้ม ส่วนนักคาราเต้ คนไหนจะเลือกฟันกี่แผ่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะตกลงกับทางฝ่ายกรรมการ ยังไง.. นักคาราเต้คนแรกเลือกฟันสิบแผ่นแต่หักแค่เจ็ดแผ่นเลยสอบตกทำให้ คนหลังๆ ไม่กล้าเลือกฟันกระเบื้องจำนวนมากเกินกว่าที่ตั้งไว้คือแปดแผ่น

        ครั้นพอถึงโอยาม่าซึ่งเป็นคนสุดท้ายเขากลับขอเลือกฟันกระเบื้อง เป็นจำนวนถึงยี่สิบแผ่นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเขาต้องทำได้อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากกระเบื้องที่เตรียมมาเหลือแค่สิบเจ็ดแผ่นเท่านั้นโอยาม่าจึงต้อง ฟันกระเบื้องแค่สิบเจ็ดแผ่น ในตอนนั้นผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาชมการแข่งขัน ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำได้จริงๆ มิหนำซ้ำตอนที่เขาเพิ่งฟันเสร็จใหม่ๆ กระเบื้อง ที่แตกและเห็นด้วยตาชัดๆ ก็มีแค่แปดแผ่นเท่านั้น ขณะที่คนดูกำลังจะเริ่ม โห่โอยาม่าหาว่าขี้โม้ ทันใดนั้นกระเบื้องอีกเก้าแผ่นข้างล่างที่ดูเหมือนยัง เป็นปกติก็ค่อยๆ ล้มครืนลงมา ตอนนั้นแหละที่สายตาทั้งหมดในสนามประลอง แห่งนั้นเริ่มจับตามาที่โอยาม่าเพียงผู้เดียว

        ส่วนการแข่งขันประลองนั้นได้ใช้กติกายั้งหมัดหยุดก่อนโดนตัวซึ่ง โอยาม่าเห็นว่ากติกาแบบนี้ทำให้คาราเต้ใช้การไม่ได้ในการต่อสู้จริงๆ เพราะ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าหมัดที่ยั้งก่อนโดนตัวนั้นจะใช้ได้ผลจริงๆ หรือไม่แต่ แม้จะต้องแข่งขันภายใต้กติกาอันนี้โอยาม่าก็สามารถผ่านด่านต่างๆ จนเข้า สู่รอบชิงชนะเลิศจนได้เพราะฝีมือของเขาเหนือชั้นกว่าคู่ประลองจนเทียบ กันไม่ได้ แต่คู่ประลองในรอบชิงชนะเลิศที่โอยาม่าเผชิญหน้าด้วยนั้นนับว่า มีฝีมือที่น่าเกรงขามไม่น้อยและไม่สะทกสะท้านต่อความร้ายกาจและดุดัน ของโอยาม่าเลย สายตาของเขาทำให้สัญชาตญาณในการต่อสู้ของโอยาม่า ลุกโชนที่ได้เจอคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อจนได้ ร่างกายของโอยาม่าร้อนฉ่าขณะที่ หัวสมองเย็นเฉียบ เสียงพูดจาของผู้ชมลอยหายไปจากการรับรู้ของเขารวมทั้ง ภาพอื่นๆทั้งหมดด้วยหลงเหลือแต่ภาพของคู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้าของโอยาม่า เท่านั้น

        เท้าขวาของคู่ต่อสู้ของโอยาม่าขยับก่อนโดยเล็งมาที่เอวซ้ายของ โอยาม่าเขาบิดเอวเล็กน้อย ในขณะที่เตรียมจะบุกโต้กลับไปทันใดนั้นเท้าขวา ของคู่ต่อสู้พลันเปลี่ยนทิศมาโจมตีที่ศีรษะของโอยาม่าแทนอันเป็นท่าเตะโค้ง สองชั้นโดยท่าเตะแรกเป็นท่าหลอกในขณะที่ท่าเตะหลังเป็นท่าเตะจริงๆ โชคดี ที่โอยาม่าใช้แขนซ้ายของเขาบล็อกเท้าขวาของคู่ต่อสู้ได้ทันไม่เช่นนั้นเขาก็คง พ่ายแพ้ไปแล้ว... ก่อนที่จะหมดเวลาคู่ต่อสู้ของโอยาม่าได้บุกโจมตีอีกครั้ง โอยาม่าตกเป็นฝ่ายรับเพราะเขาไม่กล้าตอบโต้จริงๆ เนื่องจากกลัวจะผิดกติกายั้งหมัดก่อนโดนตัวและตัวเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะยั้งหมัดเอาไว้ได้  ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ เท้าขวาของคู่ต่อสู้ เตะเปิดนำทางก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าใส่โอยาม่าและตามติดด้วยหมัดซ้ายที่เล็งไป ที่หน้าของโอยาม่าโอยาม่าเอนตัวไปที่ด้านหลังหลบหมัดอันตรายหมัดนี้แต่ ไม่พ้นหมัดซ้ายหมัดนั้นโดนที่หน้าของโอยาม่าเหมือนกันแต่พร้อมกันนั้น ฝ่ามือซ้ายของโอยาม่าก็ทำงานของมันเองโดยอัตโนมัติอย่างที่ตัวโอยาม่ายั้ง ไม่ได้ทั้งหมด ฝ่ามือซ้ายของโอยาม่ากระแทกถูกใบหน้าของคู่ต่อสู้เขาอย่างจัง จนร่างของเขาลอยจากพื้นแล้วตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง โชคดีที่เขา ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะโอยาม่ายั้งมือได้ในระดับหนึ่ง แต่ที่โอยาม่ารู้สึก ประหลาดใจก็คือเขาไม่รู้สึกกระทบกระเทือนจากหมัดของฝ่ายตรงข้ามเลย  หรือว่าหมัดของคู่ต่อสู้มิได้มีพลังมากพอที่จะล้มคนอย่างเขาได้

        ถ้าพิจารณาจากสายตาของกรรมการตัวโอยาม่าน่าจะแพ้ฟาวล์คือ ถูกหักคะแนนห้าคะแนน ขณะที่คู่ต่อสู้ของเขาจะต้องถูกหักหนึ่งคะแนน เพราะเป็นฝ่ายโดนตัวก่อน แต่เมื่อรวมคะแนนฟันกระเบื้องที่โอยาม่าฟันได้ สิบเจ็ดแผ่นและคู่ต่อสู้ฟันได้สิบแผ่นแล้วคะแนนรวมทั้งหมดของโอยาม่า ก็ยังเป็นสิบสองคะแนนซึ่งมากกว่าคู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้นกรรมการ จึงให้ทั้งคู่ประลองใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้คู่ต่อสู้ของโอยาม่าถอดใจเสียแล้ว โอยาม่าจึงได้รับชัยชนะภายใต้กติกายั้งหมัดก่อนโดนตัวโดยง่าย แม้โอยาม่า จะได้รับชัยชนะในการแข่งขันคาราเต้ทั่วประเทศก็จริงแต่ตัวเขากลับไม่ได้รับ การยอมรับจากนักคาราเต้สำนักอื่นๆ ที่มีความเห็นว่าคาราเต้ของโอยาม่าขาด ความสวยงามมีแต่พลังและความกร้าวแกร่งเท่านั้น ขณะที่ตัวโอยาม่าเองรู้สึก ผิดหวังอย่างรุนแรงกับกติกายั้งหมัดก่อนโดนตัวของคาราเต้สำนักอื่นๆ  ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นตัวทำลายวิชาฝีมือที่แท้จริงของคาราเต้ให้กลายเป็นกีฬา  โชว์ลีลายุทธ์ไป

แม้โอยาม่าจะได้ชัยชนะเลิศในการแข่งขันคาราเต้ทั่วประเทศก็ตาม แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าการฝึกฝนของตัวเขาเองยังไม่สมบูรณ์อยู่ เขาจึงตัดสินใจ เข้าไปหมกตัวในภูเขาเพื่อฝึกฝนวิชาอีกครั้งในเดือนเมษายน ค..1948 คราวนี้ เขาเลือกไปฝึกที่ภูเขาอีกลูกหนึ่งในจังหวัดจิบะ โดยปลูกกระท่อมอยู่บนเขา พยายามหลีกเลี่ยงไม่เจอผู้คนและจะลงจากเขาก็ต่อเมื่อจะมาเอาเสบียง อาหารกับหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขาจะนำมาวางไว้ให้ ณ ที่นัด หมายแห่งหนึ่งเดือนละครั้งเท่านั้น

        โปรแกรมการฝึกในแต่ละวันของโอยาม่าในช่วงนั้นเป็นดังต่อไปนี้ ตื่นแต่เช้าตรู่ ฝึกวิ่งขึ้นลงภูเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม จากนั้นฝึกบริหารร่างกาย ยืดเส้นเอ็นกล้ามเนื้อให้ตัวอ่อน ก่อนที่จะฝึกวิดพื้นโดยใช้นิ้วสองนิ้วในแต่ละ ข้างยันพื้นราวๆ สามสิบครั้ง หรือฝึกวิดพื้นโดยใช้นิ้วสามนิ้วยันพื้นในแต่ละข้าง เป็นจำนวนหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกัน หลังจากนั้นจึงค่อยรับประทานอาหารเช้า ซึ่งมี ปลาแห้ง ผักที่ขึ้นตามป่า ข้าว ซุปเต้าเจี้ยว หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว พักผ่อนเพื่อย่อยอาหารเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มหัดคาตะหรือ กระบวนท่ามวยของคาราเต้เป็นเวลาสี่ชั่วโมงเต็ม จากนั้นจึงรับประทานอาหาร กลางวันและพักผ่อนอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มฝึกชกและฝึกเตะเชือกที่พันรอบต้นไม้ ในตอนบ่ายแก่ๆ ก่อนที่จะรับประทานอาหารเย็นและเข้านอนแต่หัวค่ำ

        ในช่วงตลอดชีวิตเจ็ดสิบปีของโอยาม่านั้น ช่วงเวลาหนึ่งปีครึ่งที่เขา หมกตัวอยู่ในภูเขาที่จังหวัดจิบะนั้นคือช่วงเวลาที่เขาฝึกแต่คาราเต้อย่างเดียว อย่างแท้จริงและหายใจเข้าหายใจออกเป็นคาราเต้อย่างเดียวเท่านั้นความ สำเร็จอันยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าสำนักเคียวคุชินที่โอยาม่าได้สร้างสรรค์และ พัฒนาสำนักนี้ขึ้นในอีกยี่สิบปีต่อมา ล้วนมีพื้นฐานจากการฝึกฝนตัวเองอย่าง หนักของเขาในช่วงนี้ทั้งสิ้น




        วันที่โอยาม่าลงจากภูเขา คือวันที่เขาสามารถใช้สันมือของเขาฟันหินธรรมชาติก้อนโตหักเป็นสองท่อนได้เป็นผลสำเร็จ นับตั้งแต่นั้นใจเขาก็ไม่คิด จะประลองกับคนธรรมดาอีกต่อไปแล้วแต่เขาเลือกที่จะประลองกับวัวกระทิง แทน โอยาม่าได้ทดลองสู้กับวัวทั้งหมดหกสิบครั้งสามารถฟันเขาวัวหักได้ สี่สิบครั้งแต่ต่อยวัวล้มในหมัดเดียวได้เพียงสองสามครั้งเท่านั้น แต่นั่นก็เพียง พอที่จะทำให้เขามีความมั่นใจในดอกผลของการหมกตัวฝึกคาราเต้บนภูเขา เป็นเวลาถึงปีครึ่งของตัวเขาแล้ว






        ตอนนั้นเพื่อนคนสนิทคนหนึ่งของเขาได้ถามเขาว่าตัวเขามีโครงการ ที่จะทำอะไรในอนาคต เขาตอบว่า เขาคิดจะตั้งสำนัก แล้วเงินทุนสำหรับจะตั้ง สำนักเล่า? เขาบอกว่า เขาจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาตามคำเชิญของสมาคม มวยปล้ำเพื่อไปตระเวนแข่งประลองกับพวกนักมวยปล้ำอเมริกันซึ่งคงจะ สามารถเก็บเงินเป็นกอบเป็นกำมาตั้งสำนักได้ ดังนั้น โอยาม่า จึงเดินทางไป สหรัฐอเมริกาในเดือนมีนาคม ปี ค..1952 เพื่อบรรลุปณิธานที่เขาตั้งไว้ใน ชีวิตของเขา

        นี่คือเรื่องราวในช่วงวัยหนุ่มของ โอยาม่า มะสุทัทสุ เจ้าสำนักคาราเต้เคียวคุชินผู้ได้รับสมญานามว่ามูซาชิแห่งยุคโชวะ




ตอนที่ 5 ศิษย์กับครู

.....ต้นเดือนเมษายน ค..1949 จังหวัดจิบะ

        ในช่วงระหว่างที่โอยาม่า เพิ่งลงจากการฝึกบนภูเขาเป็นเวลาถึง 18 เดือนนั้นเขาได้รับศิษย์คนหนึ่ง เรื่องราวในตอนนั้นเป็นดังต่อไปนี้

        เด็กชายโคะโฆโอกะ ยาสุฮิโกะ กับพี่ชายที่ชื่อ มาสะยาสุ ถูกมารดา จูงมาหาโอยาม่าที่บ้านของเขาซึ่งเป็นบ้านเช่าในตอนเย็นวันหนึ่ง บ้านเช่าหลังนี้ ของโอยาม่าแบ่งเป็นสองตอนด้านในเป็นสถานที่ที่เขาใช้ฝึกคาราเต้ทุกวัน ไม่ทราบว่ามารดาของยาสุฮิโกะทราบจากใครจึงได้มาขอร้องให้โอยาม่าช่วย สอนคาราเต้ให้กับลูกชายทั้งสองของนางด้วย

        ยาสุฮิโกะ เกิดวันที่ 22 เดือนมิถุนายน ค..1936 เป็นน้องคน สุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสามคน เมื่อตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นประถม                     ปีที่ 2 เขาป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ขณะนั้นตาของเขาก็ยังอาศัยอยู่บ้าน เดียวกันด้วยตาของยาสุฮิโกะเป็นคนที่เข้มงวดมากในสมัยก่อนเขาเคยเป็น ทหารม้าไปรบในสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซียในปี ค..1905 และได้รับ เหรียญกล้าหาญจากสงครามครั้งนั้นด้วย ตาของเขานึกว่ายาสุฮิโกะแค่ปวด ท้องธรรมดาจึงไม่ยอมให้เขาหยุดเรียนเพราะไม่ต้องการให้หลานของตนเป็น คนอ่อนแอและเกียจคร้าน ตัวยาสุฮิโกะเองก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ จึงอดทนกับความเจ็บปวดเดินไปโรงเรียนคิดว่าสักครู่อาการปวดท้องก็คงจะ หายไปเอง แต่ที่ไหนได้เขากลับรู้สึกปวดท้องรุนแรงยิ่งขึ้นทุกทีขนาดไม่สามารถ ทานปิ่นโตที่เขานำไปเป็นอาหารกลางวันได้อย่างไรก็ดีเขาพยายามอดกลั้น ความปวดเอาไว้ได้จนกระทั่งเลิกเรียนและเดินกลับมาบ้าน แต่ในที่สุดเขา ก็ไม่อาจทนความเจ็บปวดอีกต่อไปได้ถึงกับสิ้นสติอยู่ในห้องกว่าตาของเขา จะมาพบและนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลร่างของเขาก็เกือบจะเป็นสีม่วงคล้ำแล้ว

        โชคดีที่ตาของเขานำเขาไปโรงพยาบาลทันจึงรอดชีวิตกลับมาได้ แต่ด้วยสาเหตุในครั้งนั้นนั่นเองที่ทำให้หลังจากนั้นยาสุฮิโกะกลายเป็นเด็ก ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องเข้าโรงพยายาลเกือบทุกเดือน มารดาของยาสุฮิโกะ ห่วงใยในสุขภาพของเขาจึงตัดสินใจให้เขามาฝึกศิลปะการต่อสู้เมื่อเขาสอบ เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นได้แล้ว โดยพาเขากับพี่ชายมาขอเรียนคาราเต้กับโอยาม่า ซึ่งพำนักอยู่ใกล้ๆ บ้าน... ในตอนแรกโอยาม่าตีหน้าบอกบุญไม่รับ

                “เสียใจครับคุณนาย ตอนนี้ผมยังไม่คิดรับศิษย์ครับ

                “ได้โปรดเถอะนะคะ กรุณารับบุตรชายของดิฉันเป็นศิษย์ด้วยเถอะ นะคะ

        “ที่นี่เป็นบ้านเช่านะครับไม่ใช่สำนักมวย และตรงนี้ก็เป็นที่ฝึกวิชา ฝีมือของผมซึ่งผมจำต้องทุ่มเทให้กับการฝึกของตน แม้ขณะนี้ผมยังอยาก จะให้วันหนึ่งมีถึง 30 ชั่วโมง หรือ 50 ชั่วโมงเลยครับ ผมจะได้มีเวลาฝึกมากๆ ฉะนั้นผมจึงยังไม่อยากรับศิษย์หรอกครับ

        แต่มารดาของยาสุฮิโกะไม่ยอมถอย เธอพยายามอ้อนวอนโอยาม่า ต่อไปอีกจนเขาเริ่มใจอ่อนลง

        “เอายังงี้ก็แล้วกันนะครับ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปให้บุตรชายของ คุณนายมาออกกำลังกายที่นี่ร่วมกับผมก็แล้วกันนะครับแต่ห้ามรบกวนการ ฝึกของผมเป็นอันขาด

        เมื่อกลับไปถึงบ้าน พี่ชายของยาสุฮิโกะรีบบอกมารดาของเขาทันทีว่า เขาไม่ต้องการไปเรียนคาราเต้กับโอยาม่าหรอกเพราะดูท่าทางโอยาม่าแล้ว ดุดันน่ากลัวเหลือเกิน แต่ยาสุฮิโกะกลับคิดตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกว่าการ จะได้เรียนคาราเต้กับโอยาม่าเป็นเรื่องที่ท้าทายเร้าใจเด็กๆ อย่างเขาเป็น อย่างยิ่งตกลงยาสุฮิโกะจึงมาเรียนคาราเต้เพียงคนเดียวตั้งแต่วันแรก

        “ผมชื่อยาสุฮิโกะครับผมมาเรียนคาราเต้กับอาจารย์ครับ

        ยาสุฮิโกะร้องเรียกอยู่หน้าบ้านโอยาม่าในตอนบ่ายสามโมงกว่า หลังจากที่เขากลับจากโรงเรียนแล้ว แต่ไม่มีเสียงขานรับใดๆ นอกจากเสียง ใครบางคนออกกำลังกายอยู่ข้างใน ยาสุฮิโกะจึงตัดสินใจย่องเข้าไปดูข้างในซึ่ง เป็นสถานที่ฝึกวิชาฝีมือของโอยาม่า

        ยาสุฮิโกะได้ยินเสียงลมหายใจออกที่ดังเป็นจังหวะๆ จากในห้องนั้น ก่อนที่จะเห็นร่างของโอยาม่าในชุดว่ายน้ำกำลังยกน้ำหนักขึ้นลงอยู่ น้ำหนัก ที่โอยาม่ายกนั้นมากถึงสองร้อยกิโลกรัม เหงื่อไหลออกมาโชกร่างที่เต็มไปด้วย มัดกล้ามของโอยาม่านองพื้นเต็มไปหมด ยาสุฮิโกะยืนรอโอยาม่ายกน้ำหนัก เสร็จแล้วจึงเข้าไปคารวะ

         “อาจารย์ครับ

        โอยาม่ามองยาสุฮิโกะด้วยสายตาเย็นชาแว่บหนึ่งก่อนจะหันหน้า ไปทางอื่น ใบหน้าของโอยาม่าในวันนี้ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มน้อยๆ ที่เคยยิ้มให้เขา ครั้งหนึ่งเมื่อวานนี้ สายตาของโอยาม่าเหมือนกับจะบอกกับเขาว่านี่เธอคิด มาฝึกจริงๆ หรือนี่อย่างงั้นแหละ

        “อาจารย์ครับผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับยาสุฮิโกะเป็นฝ่าย เอ่ยปากขึ้นอีก

        โอยาม่าถอนหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่งและยืนเฉยไม่พูดอะไรแต่สายตา ของเขาสำรวจร่างของยาสุอิโกะซึ่งเพิ่งจะมีอายุ 13 ปีเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้า ยาสุฮิโกะยืนตัวแข็งรอว่าโอยาม่าจะสอนอะไรให้แก่เขา

        โอยาม่าสั่งให้ยาสุฮิโกะถอดเสื้อผ้าเหลือแต่กางเกงในเหมือนกับ ตัวเขาพร้อมกับบอกเขาว่าเขาจะทำเป็นตัวอย่างให้ดูขอให้ยาสุฮิโกะทำ              ตาม โอยาม่ายกเท้าขวาของเขาขึ้นเตะสูงเหนือหัวพร้อมกับออกเสียงดังลั่นเอี๊ยะ !” ส้นเท้าของโอยาม่าชี้ขึ้นฟ้าและแช่นิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับเป็นภาพนิ่ง อยู่ชั่วขณะก่อนที่จะวางเท้าลงแล้วสลับมาเตะสูงด้วยเท้าซ้ายแทน จากนั้น โอยาม่าก็เดินหน้าเตะสูงซ้ายขวาสลับกันไปจากฝั่งหนึ่งของห้องไปยังอีกฝั่ง หนึ่งก่อนที่จะเตะย้อนกลับอย่างต่อเนื่อง เสียงลมที่เกิดจากแรงของการเตะที่ แหวกอากาศดังเฟี้ยวๆ มาถึงหูของยาสุฮิโกะอย่างชัดเจน

        “นี่คือท่าเตะสูง ขอให้เธอลองเตะดู

        พอสั่งเสร็จโอยาม่าก็กลับไปฝึกยกน้ำหนักต่อโดยไม่หันมาสนใจกับ ยาสุฮิโกะอีกเลย

        ยาสุฮิโกะพยายามจะยกขาเพื่อเลียนแบบการเตะของโอยาม่าบ้าง แต่เขายกขาไม่ขึ้นได้สูงแค่อกเป็นอย่างมากเท่านั้นไม่สามารถยกขาขึ้นสูง เกินศีรษะเหมือนโอยาม่าได้เลย ยิ่งถ้าจะให้เตะยกขาแล้วแช่นิ่งๆ นั้นเขาทำ ไม่ได้เลยเพราะไม่อาจรักษาการทรงตัวเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตามยาสุฮิโกะก็ พยายามกัดฟันเดินยกเท้าเตะสูงสลับซ้ายขวาไปจนถึงอีกฟากหนึ่งจนได้เขา รู้สึกเหนื่อยจนแทบจะขาดใจแต่ก็ไม่ยอมหยุดพักกัดฟันเดินยกเท้าเตะสลับ ซ้ายขวากลับไปทางเดิม เขานึกว่าจะได้รับคำติชมจากโอยาม่าแต่เปล่าเลย โอยาม่ามิได้เหลือบสายตาแลดูเขาแม้แต่น้อย เขารู้สึกน้อยใจนิดหน่อยแต่ ไม่กล้าเอ่ยปากพูดกับโอยาม่าได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝึกเดินยกเท้าเตะสูงสลับ ซ้ายขวาต่อไปไม่ยอมหยุดพักจนฝ่าเท้าทั้งสองข้างของเขาเริ่มรู้สึกเจ็บแล้ว  แต่ก็ยังไม่มีเสียงสั่งให้พักจากโอยาม่าเลย

        เหงื่อท่วมร่างของยาสุฮิโกะจนเปียกโชกไปหมดและทำให้เท้าเขาลื่น จนร่างของเขาหกล้มลงกับพื้นเขารีบลุกขึ้นนึกว่าจะโดนดุจากอาจารย์แต่เปล่า เลยโอยาม่าก็ยังคงก้มหน้าก้มตาฝึกของตัวเองต่อไป จากความน้อยใจแปร เปลี่ยนเป็นมานะคิดอยากจะเอาชนะเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากอาจารย์ ยาสุฮิโกะจึงกัดฟันเตะต่อไปพลางเปล่งเสียงร้องให้ดังขึ้นกว่าเดิม

        “เอี๊ยะ !”     “เอี๊ยะ !”

        ยาสุฮิโกะฝึกเตะต่อไปจนกระทั่งฝ่าเท้าของเขาเป็นรอยช้ำในที่สุด ฝ่าเท้าทั้งสองข้างของเขาก็ถลอกเป็นแผลมีเลือดไหลซึมออกมาแต่ยาสุฮิโกะ ก็กัดฟันทนความเจ็บปวดยืนเตะต่อไปมิหนำซ้ำส่งเสียงร้องดังกว่าเดิม ไม่ช้า ความเจ็บกับความเหนื่อยล้าที่บริเวณกล้ามเนื้อตรงขาได้เกาะกุมตัวยาสุฮิโกะ จนเริ่มชาด้านยาสุฮิโกะแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้ฝึกยืนเตะมากว่าหนึ่งชั่วโมง เต็มแล้ว ในที่สุดร่างของยาสุฮิโกะก็สะดุดล้มลงกับพื้นเป็นครั้งที่สิบและครั้งนี้ หัวของเขากระแทกพื้นจนเขาสิ้นสติสลบเหมือดไป

        ยาสุฮิโกะไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีก ครั้งเพราะศีรษะของเขาถูกราดด้วยน้ำเย็นจากถังน้ำที่โอยาม่าแบกมา ขณะนั้น พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้วนี่ก็แสดงว่าเขาสลบไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว หรือนี่ คราวนี้โอยาม่าเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดกับเขาว่า

         “จงทำความสะอาดสนามฝึกและกลับบ้านได้แล้ว

         ดูเหมือนว่าโอยาม่าก็ฝึกของเขาเสร็จแล้วเช่นกันเพราะหลังจากนั้น เขาไม่พูดอะไรอีกแต่เดินกลับเข้าห้องพักของตน บางทีโอยาม่าอาจจะคิด    ในใจว่าถ้าลองจับเคี่ยวขนาดนี้แล้วพรุ่งนี้ก็คงเข็ดไม่กล้ามาฝึกกับเขาอีก   เป็นแน่แต่ยาสุฮิโกะยังอยู่ในวัยเด็กที่ไร้เดียงสาเกินกว่าจะเจ้าใจกลยุทธ์ของผู้ใหญ่ เขาทำความสะอาดสนามฝึกอย่างสะอาดเรียบร้อยก่อนที่จะกลับ ไปบ้าน วันนั้นยาสุฮิโกะรู้สึกเหนื่อยจนแทบจะขาดใจเขารู้สึกเจ็บระบมไปทั่วร่าง ขนาดต้องคลานไปยังห้องน้ำเพราะยืดขายืดเอวไม่ได้ คืนนั้นยาสุฮิโกะหลับ เป็นตายเลยทีเดียว

         วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกเรียนตอนสามโมงเย็นแล้ว ยาสุฮิโกะก็ไปหาโอยาม่า ที่บ้านอีกทั้งๆ ที่ยาสุฮิโกะโดนโอยาม่าเคี่ยวขนาดนี้แต่ทำไมยาสุฮิโกะก็ ยังคิดไปฝึกกับโอยาม่าอีกสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ายาสุฮิโกะไม่มีพ่อ ก็เป็นได้ พ่อของยาสุฮิโกะเสียชีวิตในสงครามหลังจากที่เขาลืมตาดูโลกได้ เพียงสามวันเท่านั้น ยาสุฮิโกะจึงเติบโตขึ้นมาจนมีอายุ 13 ปี โดยไม่ได้สัมผัส กับความเป็นพ่อเลยสำหรับยาสุฮิโกะแล้วโอยาม่าเป็นผู้ใหญ่คนแรกที่ เป็นบุรุษที่ทั้งเข้มแข็ง ทั้งน่ายำเกรง ที่ทั้งน่าพึ่งพา ที่เข้ามาใกล้ชิดกับตัวเขา เป็นไปได้ว่ายาสุฮิโกะแลเห็นความเป็นพ่อของเขาในตัวของโอยาม่า ยาสุฮิโกะจึงพร้อมที่จะทนทานต่อการถูกเคี่ยวอย่างหนักจากโอยาม่าได้

        คราวนี้โอยาม่าต่างหากที่เป็นฝ่ายแปลกใจแทบไม่เชื่อสายตา โอยาม่าเริ่มยอมรับในความใจเด็ดของเด็กคนนี้แต่ก็ยังไม่คิดจะรับเป็นศิษย์ เขาจึงสั่งให้ยาสุฮิโกะฝึกเตะสูงสลับซ้ายขวาเช่นเดียวกับวันแรกและไม่สอน อะไรเพิ่มเติมอีกให้ยืนเตะอยู่ท่านี้ท่าเดียวเท่านั้น แต่ยาสุฮิโกะก็ไม่ปริปากบ่น เลยแม้แต่คำเดียวเขาก้มหน้าก้มตาฝึกเตะต่อไปตามคำสั่งของอาจารย์และ ทำเช่นนั้นทุกๆ วันโดยมาฝึกมิได้ขาด

        ยาสุฮิโกะฝึกท่าเตะสูงเพียงท่าเดียวเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม  โอยาม่าจึงเริ่มสอนวิธีการกำหมัดและออกหมัดให้แก่เขา วิธีการสอนของ โอยาม่าจะสอนให้เพียงครั้งเดียวแล้วให้ยาสุฮิโกะไปฝึกเองส่วนตัวโอยาม่าก็ หันมาฝึกวิชาของตัวเองโดยไม่สนใจกับเขาอีก ครั้นพอเรียนไปได้สองเดือน เมื่อเห็นยาสุฮิโกะตั้งใจฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจังมิได้ขาดแล้วโอยาม่าจึง    ค่อยๆ ถ่ายทอดวิชาคาราเต้ให้กับเขาทีละเล็กละน้อย

        หลังจากผ่านไปได้สองเดือนเศษร่างกายของยาสุฮิโกะแข็งแรงขึ้น กว่าเดิมมากสามารถวิ่งไปกลับจากโรงเรียนมายังสำนักคาราเต้ของ โอยาม่าได้โดยไม่เหนื่อยหอบแล้ว มีอยู่วันหนึ่งที่ยาสุอิโกะเผชิญกับนักเรียน โรงเรียนเดียวกันที่เป็นรุ่นพี่อยู่ปีสามและเป็นอันธพาลหัวโจกประจำโรงเรียน ที่เคยชอบรังแกเขาเป็นประจำมาดักซุ่มทำร้ายเขาจากข้างหลัง เหตุการณ์ ขณะนั้นรวดเร็วมากกว่ายาสุฮิโกะจะรู้สึกตัวอันธพาลคนนั้นก็ล้มลงกับพื้น เลือดไหลออกจากจมูกเต็มไปหมดแล้ว ด้วยความตกใจไม่ทราบว่าเกิดอะไร   ขึ้นเขาจึงรีบวิ่งไปหาโอยาม่าแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้โอยาม่าฟัง พอยาสุฮิโกะเผลอโอยาม่าจึงลองลอบโจมตียาสุฮิโกะเหมือนกับอันธพาล คนนั้นบ้าง คราวนี้จึงเห็นได้ชัดว่ายาสุฮิโกะสามารถมีปฏิกิริยาตอบสนองใน การป้องกันตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยการบิดตัวทำให้ฝ่ายตรงข้ามถูก ทุ่มลงกับพื้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยาสุฮิโกะจึงตระหนักถึงความร้ายกาจ ในวิชาคาราเต้ที่เขาเพิ่งร่ำเรียนได้เพียงสองเดือนเท่านั้น


          หลังจากวันนั้นแล้ว ยาสุฮิโกะก็มิได้ถูกรังแกเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว  และกิติศัพท์ว่าวิชาคาราเต้ของยาสุฮิโกะสามารถปราบคนตัวใหญ่กว่าได้เป็น ที่ร่ำลือไปทั่วโรงเรียนทำให้มีนักเรียนคนอื่นมาขอสมัครเรียนบ้างแต่ถูก โอยาม่าปฏิเสธ มีอยู่คนหนึ่งเป็นนักเรียนมัธยมปลายอายุ17 ปี ที่ให้ผู้ปกครอง มาตื้อขอเรียนกับโอยาม่าจนเขาต้องอนุญาตให้มาฝึกด้วยได้ โอยาม่าเลยสั่งให้ ยาสุฮิโกะเป็นครูฝึกนักเรียนคนนั้นแทนเขาโดยบอกให้ทำแบบเดียวกับที่เขา เคยโดนเคี่ยวยาสุฮิโกะจึงฝึกนักเรียนคนนั้นให้หัดท่าเตะสูงท่าเดียวอยู่ เช่นนั้นเป็นชั่วโมงๆ ปรากฏว่าหลังจากวันนั้นแล้วนักเรียนคนนั้นมิได้มาปรากฏ ตัวให้โอยาม่าและยาสุฮิโกะเห็นอีกเลย

        นักเรียนอื่นอีกหลายคนก็เช่นกันที่มาขอเรียนกับโอยาม่าเขาก็จะให้ ยาสุฮิโกะสอนแทนให้ส่วนตัวเองก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชาของตน ผลปรากฏ ว่าไม่มีนักเรียนคนไหนเรียนได้นานเลย โอยาม่าจึงมีศิษย์ก้นกุฏิเพียงคน เดียวเท่านั้น ในช่วงเวลาปีเศษที่เขาพำนักอยู่ที่จังหวัดจิบะ และนั่นเป็นตำนานอีกบทหนึ่งของ โอยาม่า มะสุทัทสุ เจ้าสำนักคาราเต้เคียวคุชินผู้ได้สมญา นามว่ามูซาชิแห่งยุคโชวะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้