“
2. ดอกผลของฤดูร้อน”
คืนวันที่ 22 พฤษภาคมพ.ศ. 2535
ณ วัดชานเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งทางทิศใต้ของกรุงเทพมหานคร สันติชาติ อโศกาลัยขั บรถคู่ใจของเขาเลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ ที่มีป้ายชื่อของวัดแห่งนั้นติดเอาไว้เขานำรถยนต์ข้ามสะพานไม้ที่เก่าจนเกือบจะผุอยู่แล้วข้ามคูเล็กๆสายหนึ่งเพื่อมุ่งตรงไปยังวัดที่ อริยสงฆ์ท่านนั้น”พำนักอยู่
เขาจอดรถยนต์ไว้ที่หน้าลานวัดแล้วเดินตัดลานวัดข้ามสะพานไม้อีกแห่งหนึ่งเพื่อไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่พำนักและสถานปฏิบัติธรรมของท่านกับลูกศิษย์ในทันทีที่สันติชาติย่างเหยียบเข้ามาสู่ดินแดนอันสงบสันติแห่งนี้ฉับพลันหัวใจที่เพิ่งประสบกับความร้าวรานใจที่ได้แลเห็นการฆ่าฟันประชาชนที่มีแต่สองมือเปล่าของพวกทหารประชาชน หน้าบริเวณโรงแรงรอยัลสนามหลวงในช่วงคืนวันที่ 18-19 พฤษภาคมจนล้มตายดุจใบไม้ร่วงต่อหน้าต่อตาของตัวเขาเองซึ่งเขาก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกันค่อยๆรู้สึกสงบลงราวกับได้รับการปลอบโยน
แม้ว่าเหตุการณ์นองเลือดจะยุติลงได้ในช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 20 พฤษภาคมก่อนที่จะลุกลามใหญ่โตไปเป็น สงครามกลางเมือง”ซึ่งคงจะทำให้ประเทศไทยแตกเป็นเสี่ยงและคงมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากกว่านี้อีกหลายร้อยเท่าด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันแล้วก็ตาม
แต่ความทุกข์ความปวดร้าวและบาดแผลที่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้คนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ประท้วง ความไม่เป็นธรรมทางการเมืองของผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นด้วยจิตใจบริสุทธิ์และด้วยวิธีการสันติวิธีอย่างอหิงสาที่ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงใช่ว่าจะได้รับการเยียวยาให้หายขาดโดยง่ายๆ
ตัวสันติชาติเองเขาก็เพิ่งเดินทางกลับจากการท่องยุทธจักรในต่างแดนที่ประเทศญี่ปุ่นจีนแผ่นดินใหญ่และที่ประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศได้ผ่านประสบการณ์ที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดก่อนที่จะเดินทางกลับมายังมาตุภูมิอันเป็นที่รักของเขาในวันที 1 เมษายนพ.ศ. 2535 นี้เองแต่คราวนี้เขากลับมาพร้อมกับนำเอาประกาศนียบัตรอนุญาตให้ตั้งสำนักมวยจีนของ อาจารย์ลิ้ม” สาขาประเทศไทยติดตัวกลับมาด้วย
ห้าปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินไทยอีกเลยภายหลังจากที่“พี่แสงธรรม ได้พาเขาไปพบกับ อริยสงฆ์ท่านนั้น”ผู้เป็นอาจารย์ของพี่แสงธรรม”เพื่อรับการถ่ายทอดแก่นแท้ของ หลักพุทธธรรม”เพื่อทำการปลดเปลื้องทางจิตวิญญาณของตนด้วยตนเองในระดับหนึ่งแล้วเขาก็ได้รับการติดต่อจากอาจารย์ลิ้มผู้เป็นอาจารย์มวยจีนคนแรกในชีวิตของเขาชักชวนให้เขามาสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในชานเมืองกรุงโตเกียวพร้อมทั้งมารับการฝึกฝนวิทยายุทธ์จากท่านสืบต่อไปอีก
สันติชาติจึงจัดสินใจลาออกจากงานสอนหนังสือในประเทศไทยแล้วเดินทางกลับไปประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งแต่ทั้งตัวเขาและอาจารย์ลิ้มก็คงไม่นึกฝันหรอกว่านั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งการผจญภัยครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของสันติชาติอโศกาลัยเท่านั้น
ห้าปีที่ผ่านมานี้เขาได้ฝึกฝนวิทยายุทธ์อย่างหนักหน่วงด้วยความยากลำบากอีกครั้งหนึ่งนอกจากอาจารย์ลิ้มครูมวยจีนคนแรกของเขาแล้วเขายังเดินทางไปเรียนฝ่ามือมังกรแปดทิศกับอาจารย์เฉิงซึ่งอาจารย์ลิ้มเป็นผู้แนะนำให้อีกด้วย
แต่เมื่อเขากลับมาเมืองไทยกลับต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ของสังคมไทย อันเนื่องมาจากความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งที่คิดจะสืบทอดอำนาจเผด็จการฉุดสังคมไทยให้ถอยหลังเข้าคลองกลับไปสู่วงจรอุบาทว์อีกครั้งหนึ่งจึงทำให้เขาต้องตัดสินใจเข้าร่วมในการต่อสู้คัดค้านร่วมกับประชาชนอีกจำนวนเรือนแสนทั้งๆที่เขาได้เคยตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะหันหลังให้กับการเมือง” ตลอดชั่วชีวิตนี้เพื่อมุ่งสู่ทางธรรมกับการฝึกฝนวิชาฝีมือ
แม้สันติชาติจะมั่นใจว่าตัวเขาเองได้ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำตนเองยกระดับจิตใจและจิตวิญญาณให้ก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อนจนได้รับผลกระทบกระเทือนจากสิ่งต่างๆ ภายนอกหรืออารมณ์ต่างๆที่เข้ามาปรุงแต่งจิตใจน้อยลงกว่าแต่ก่อนไปมากแล้วก็ตาม
แต่การที่เขาได้แลเห็นผู้อื่นที่กำลังประสบเคราะห์กรรมกับความทุกข์ใจเหมือนอย่างที่เขาได้เคยประสบมาในวัยรุ่นหนุ่มนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง!
จริงอยู่ที่ สถานะ”และ“สภาวะ อย่างเขาในขณะนี้ย่อมทำให้ตัวเขามีความเชื่อมั่นว่าตัวเขาเองสามารถจะนำพาชีวิตของตนเองให้ฟันฝ่าคลื่นชีวิต ลูกต่างๆ ไปได้จนกว่าวันสุดท้ายแห่งชีวิตของเขาจะมาถึงแต่คนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมชาติของเขาอีกเป็นจำนวนมากเล่า?
สันติชาติยังจำได้ดีถึง คำปฏิญาณ ที่เขาได้ให้กับ อาจารย์ลิ้ม”และท่านอาจารย์เฉิง ที่เขาอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางไปพบที่เมืองจีนเพื่อร่ำเรียนวิชา ฝ่ามือแปดทิศ”จากท่านว่า
จะไม่ขอเอาตัวเองหลุดพ้นไปคนเดียวเป็นอันขาดจนกว่าจะได้ร่วมกันนำพามวลชนคนอื่นๆหลุดพ้นจากความทุกข์ยากของชีวิตไปพร้อมๆกันด้วย”
ด้วยเหตุนี้สันติชาติอโศกาลัยจึงต้องกระโจนกลับเข้าสู่“วังวนแห่งความทุกข์”และ วังวนแห่งการต่อสู้” อีกครั้งครา !!
คืนนี้ที่เขาเดินทางมาหาอริยสงฆ์ท่านนั้น”ผู้ซึ่งเป็น อาจารย์ทางใจ”อีกท่านหนึ่งของตัวเขาเองก็เพื่อที่จะแสวงหา คำแนะนำ” ต่อ คำถาม ที่เขาต้องตั้งคำถามให้ตัวเองด้วยความขมขื่นอีกครั้งหนึ่งภายหลังจากที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ”มาหยกๆ ว่า
ตัวเราเองได้ฝึกฝนวิชาฝีมือมาด้วยความยากลำบากมาชั่วชีวิตฝึกมาจนบัดนี้แล้วเป็นอย่างไรเล่า? กระทั่งชีวิตคนบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมต่อสู้พร้อมๆกับเราเราก็ไม่อาจปกป้องไว้ได้สติปัญญาและวิชาฝีมือของเรานั้นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดีต่ออาวุธสงครามสมัยใหม่ที่มีแต่ความโหดเหี้ยมรุนแรงพวกเขาและเธอเหล่านั้นล้วนเป็นคนดีและมีจิตใจบริสุทธิ์แต่พวกเขาและเธอหลายคนกลับต้องจบชีวิตด้วยความน่าอเน็จอนาถในขณะซึ่งพวกที่ทำเรื่องไม่ถูกต้องดีงามเอาไว้มากมายกลับอยู่อย่างอิสระลอยนวลอยู่ได้ทุกข์ทางใจจากสังคมของพวกเขาและพวกเธอเหล่านี้จะปลดเปลื้องได้อย่างไร ?”
สันติชาติมาหา“อริยสงฆ์ท่านนั้น”ในครั้งนี้มิได้ต้องการจะมา“ถามต่อฟ้า”ให้กับหัวใจของตัวเขาเองอีกนั่นเป็นเพราะว่าหัวใจของเขาได้พบกับคำตอบไปแล้วแต่เขากำลังจะ ถามต่อฟ้า ให้กับคนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก
เขากำลังจะมา ถามต่อฟ้า”ให้กับหัวใจของสังคมไทย !!
สันติชาติอโศกาลัยถอดรองเท้าของเขาออกก่อนที่จะก้าวเข้าไปหลับตานั่งสมาธิร่วมกับผู้ปฏิบัติธรรมอีกสี่ห้าคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชราในอารามเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งเปิดใช้เป็นที่ฝึกสมาธิของฆราวาสกับภิกษุของวัดทุกๆคืนในช่วงเวลาหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่มเขาเป็นคนหลังสุดที่เข้ามาร่วมในการนั่งสมาธิกับคนกลุ่มนี้
หนึ่งชั่วโมงต่อมาเสียงนาฬิกาปลุกร้องเตือนเบาๆ ให้ทุกคนตื่นจากภวังค์และถอดถอนตนเองออกจากการนั่งสมาธิ
สันติชาติเผยตาขึ้นพร้อมๆกับที่เขาได้ยินเสียงประตูที่อยู่ทางด้านหลังเปิดออกเขาเหลียวไปดูและก็ได้พบ “อริยสงฆ์ท่านนั้น” กำลังยืนเด่นสว่างสงบอย่างน่าเลื่อมใสศรัทธาอยู่หน้าประตูพอดี
สันติชาติก้มลงกราบท่านด้วยใจบูชาสูงสุด
ท่านไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อห้าปีก่อนสักเท่าไหร่นักแม้ว่าร่องรอยของความชราแห่งสังขารจะเริ่มปรากฏให้เห็นมากกว่าแต่ก่อนแล้วก็ตามท่านเดินไปนั่งยังอาสนะประจำของท่านด้านในสุดของอารามในขณะที่ผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นได้แยกย้ายกันกลับออกไปทำธุรกิจของตนท่านเรียกสันติชาติให้เขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆเพื่อสนทนากันเป็นการส่วนตัวแล้วเอ่ยปากทักด้วยความเมตตาเหมือนเช่นเคยว่า
“ว่ายังไงพ่อหนุ่ม” ดูเหมือนว่าเธอจะรุดหน้าทางจิตกว่าแต่ก่อนไปอีกระดับหนึ่งแล้วนะ
”
“ด้วยความเมตตาของท่านแท้ๆครับที่ได้กรุณาชี้ “ทางสว่าง” ให้แก่ตัวผมเมื่อห้าปีก่อนครับ
”
“ไม่ใช่หรอกพ่อหนุ่มเป็นความเพียรของตัวเธอเองต่างหากตัวเราเป็นเพียงแต่ผู้บอกทางให้เท่านั้น
”
สันติชาติอโศกาลัยนั่งนิ่งไปชั่วขณะดูเหมือนเขากำลังรวบรวมความคิดเพื่อถามท่านถึงสิ่งที่ยัง ติดค้าง อยู่ในใจของเขาภายหลังจากที่เพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ”มาหยกๆ ว่า
ท่านครับตัวผมและเพื่อนร่วมชาติของผมอีกเป็นจำนวนมากเพิ่งได้ผ่านโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งสำหรับสังคมไทยในรอบยี่สิบปีนี้มามีผู้คนที่บริสุทธิ์จำนวนหลายสิบคนต้องล้มตายดุจใบไม้ร่วงจากการเข่นฆ่าของคนชาติเดียวกันที่มีกำลังอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือด้วยเพียงเหตุผลว่าพวกเขาเรียกร้องความชอบธรรมทางการเมืองให้กับระบอบการเมืองไทยเท่านั้น
การที่ตัวผมมาหาท่านในวันนี้ก็มิได้มีจุดประสงค์อันใดอื่นนอกจากจะขอให้ท่านกรุณาช่วยชี้ ทางสว่าง ให้แก่สังคมนี้ให้แก่เพื่อนร่วมชาติอีกเป็นจำนวนมากของผมนี้เหมือนอย่างที่ท่านได้เคยชี้ ทางสว่าง ให้แก่ผมมาแล้วครับ...”
เขาหยุดนิดหนึ่งก่อนที่จะระบายความขมขื่นใจของเขาต่อไปว่า
ในสังคมปัจจุบันนี้ คนดี เป็นจำนวนมากกลับต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมลำบากตกทุกข์ได้ยากหรือแม้กระทั่งต้องจบชีวิตลงด้วยความน่าอนาถในขณะที่พวกที่ทำเรื่องไม่ถูกต้องเลวทรามเอาไว้มากมายกลับอยู่อย่างอิสระลอยนวลอยู่ในสังคมได้ทุกข์ทางใจของสังคมที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเริ่มรู้สึกท้อแท้นี้จะสามารถปลดเปลื้องได้อย่างไรครับ ?
”
ดูกรพ่อหนุ่มผู้เป็นทั้งนักสู้และแสวงหาเพื่อความดี พุทธศาสนาเห็นว่าหาก สังคม”ปรารถนาอะไร สังคม ก็พึงตระหนักว่าสังคมจะต้องฝึกฝนพากเพียรในสิ่งนั้นขึ้นมาเพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จะมีได้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้อง สะสมกรรม”ต้องฝึกฝนปฏิบัติให้เกิดมีสิ่งนั้นขึ้นภายในตัวของสังคมเอง
ยกตัวอย่างเช่นหากสังคมเรียกร้องต้องการความยุติธรรมความถูกต้องความดีงามให้มีขึ้นในสังคมปัจเจกชนที่เป็นองค์อณูที่ประกอบขึ้นเป็น รูป ของสังคมก็จะต้องพากเพียรปฏิบัติในสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นจริงและธำรงรักษาให้คงไว้ได้จริงส่วนจะได้มากหรือได้น้อยนั้นก็แล้วแต่การสะสมก่อกรรมอันจะค่อยๆพอกพูนเป็น ‘บารมี’ แห่งสังคมนั้น”
อริยสงฆ์ท่านนั้นเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนอธิบายให้สันติชาติฟังต่อไปว่า
ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาจึงเห็นว่า สังคมจะเลิกการกระทำเพื่อความดีงามเพื่อความถูกต้องไม่ได้ สังคมจะท้อแท้เลิกทำความดีไม่ได้เพราะมันเป็น“กรรม”อย่างหนึ่งคือเป็นการกระทำที่สังคมจะต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำไปเรื่อยๆมากมายก่ายกองสั่งสมไว้จากน้อยค่อยๆเพิ่มขึ้นจนเป็น“ประเพณี”เป็น“ความเคยชิน”ของสังคมและจาก“เคยชิน ก็พอกพูนเป็น“นิสัย”แล้วจึงพอกพูนเป็น สันดาน ของสังคมนั้นทำอย่างนั้นพอกพูนมากขึ้นไปอีกจนถึงขั้น“แสดงฤทธิ์เดช
”
ซึ่งสังคมจะต้องใช้ “วิริยะ” ใช้ความพากเพียรค่อยๆเพาะ “กรรมดี” หรือกุศลกรรมนี่ไปเรื่อยๆให้มากมายจนถึงขั้น “แสดงฤทธิ์ออกเดช” เพื่อมาข่มล้าง “ความเลวร้าย” ภายในสังคมให้ลดน้อยเสื่อมสลายลงไปให้ได้
ดุจการที่เราเลี้ยง“แมว”(กรรมดี) ฝึกฝนแมวให้เติบใหญ่จนสำแดงฤทธิ์สามารถข่มปราบ หนู (กรรมเลว) มิให้สร้างความเดือดร้อนให้แก่บ้านช่องนั่นเองอันเป็นสภาวะของ“ความชั่วไม่บังเกิดขึ้น”ซึ่งสูงส่งกว่าสภาวะของ“ไม่ทำความชั่ว”ยิ่ง “แมว” มีฤทธิ์เดชเก่งกล้ามากขึ้นเพียงใดอิทธิพลของ “หนู” ที่จะมีต่อบ้านช่อง (พฤติกรรม) เราก็จะลดน้อยลงเพียงนั้นเพราะโดยธรรมชาติแล้วความดีย่อมข่มความเลวดุจแมวย่อมข่มปราบหนูฉะนั้น”
สันติชาตินั่งฟังอริยสงฆ์ท่านนั้นพูดถึง “สภาวะ” โดยธรรมชาติของการ ข่มกันและกันระหว่างความดีกับความเลวที่ท่านเปรียบเหมือน“แมว” กับ “หนู” ด้วยความสนใจเขาอดรำลึกถึงความหลังสมัยที่เขากำลังร่ำเรียนวิชาฝีมืออยู่กับ“อาจารย์ลิ้มไม่ได้เพราะท่านได้เคยสอนให้เขาเรียนรู้การเล่นหมากล้อมที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โกะ”ซึ่งมีแต่หมากขาวกับหมากดำอยู่เต็มกระดานวิธีการเล่น“โกะ”นั้นก็มีหลักการที่แทบไม่ต่างกับหลักการข่มด้วยสภาพสภาวะดังที่อริยสงฆ์ท่านนั้นเพิ่งได้กล่าวออกมาเลย
แล้วเราจะบำรุงส่งเสริม “สังคม” ให้สามารถยืนหยัดกระทำความดีงามต่อไปเรื่อยๆได้อย่างไรครับท่าน?”
ดูกรพ่อหนุ่มผู้มีจิตใจละเอียดอ่อนแต่เด็ดเดี่ยวลุ่มลึกการบำรุงส่งเสริมสังคม สามารถยืนหยัดกระทำความดีต่อไปได้เรื่อยๆ นั้นถึงที่สุดแล้วก็คือ การบำรุงส่งเสริมศาสนาให้รุ่งเรืองภายในจิตใจของผู้คนในสังคมนั้นๆ นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปนั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนทางวัตถุไม่จำเป็นต้องจ่ายด้วยเงินหรือด้วยทรัพย์อะไรกันเป็นสำคัญนักหรอกเพียงขอให้สมาชิกในสังคมทุกคนต่างให้ความสนใจกับ “การบำรุงที่ตัวเอง”ให้เพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ก็คือการบำรุงส่งเสริมศาสนาที่แท้จริงแล้ว...
ท่านหยุดนิดหนึ่งเพื่อให้สันติชาติครุ่นคิดตามทันก่อนที่จะกล่าวสืบต่อไปว่า
ผู้ใดก็ตามที่ตั้งใจส่งเสริมบำรุงพระศาสนาให้เจริญด้วยการหอบข้าวของเงินทองเข้าวัดเป็นหลักนั้นอันที่จริงคือ การฉุดรั้งศาสนาเสียมากกว่าสังคม จะต้องเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องว่า พุทธศาสนาไม่เคยสอนเรื่องไกลตัวเราเลย ไม่ได้สอนให้เราวุ่นวายกับเรื่องภายนอกเลย ท่านสอนให้ตรวจดูตัวเอง แล้ว“ปฏิบัติธรรม”ให้ดีขึ้นให้ถูกขึ้นที่ตัวเองนี้เท่านั้นก็เป็นการเพียงพอแล้ว
”
แล้ว สังคม จะ ปฏิบัติธรรม ให้ดีขึ้นให้ถูกต้องขึ้นที่ตัวเองได้อย่างไรครับท่าน?
”
การปฏิบัติธรรม...สังคมควรจะปฏิบัติยังไง? นี่เป็นคำถามที่สังคมควรรู้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่มักจะถามหรือข้องใจอยู่เสมอว่าคนเราจะเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติธรรมได้? เราจะขอบอกให้ “สังคม” ทราบว่าวิธีการปฏิบัติธรรมของคนธรรมดาที่เหมาะสมที่สุดเหมาะเป็นทางเอกที่สุดนั้นก็คือ การฝึกตนเองให้มีสติรู้ตัวให้ได้ตลอดเวลา นี่เองโดยใช้ชีวิตตามปกติธรรมดานี้แหละไม่ต้องไปบวชไม่ต้องไปแบ่งเอาเวลาส่วนไหนออกไปเลย
คือ “สังคม” ควรหัดให้มี “สติ” รู้ตัวให้ได้ตลอดเวลาโดยให้ระวัง “ประตูเข้า” คือตาหูจมูกลิ้นกายใจกับระวัง “ประตูออกคือกายวาจาใจเอาไว้ตลอดเวลา สุดท้ายชีวิตของสังคมจะดีขึ้นได้สังคมนั้นจะต้องผนึกชีวิตตัวเองให้แนบแน่นอยู่กับความเป็นชีวิตของพุทธศาสนา
”
สุดท้ายชีวิตของสังคมจะดีได้สังคมนั้นจะต้องตระหนักถึงความเป็น ไตรลักษณ์ หรือความไม่อนิจจังทั้งของตัว“ชีวิตของสังคม”กับ ชีวิตของพุทธศาสนา”ให้ได้ด้วย!!
”
ตอนสุดท้ายนี้ท่านหมายความว่ากระไรครับ ? ผมยังไม่เข้าใจครับ
”
ส่วนสุดท้ายนี้แหละคือคำตอบของเราที่มีต่อคำถามที่เต็มไปด้วยความขมขื่นใจที่ “สังคม” ฝากเธอมาถามเราพ่อหนุ่ม!!”
อริยสงฆ์ท่านนั้น ได้เอ่ยเป็น“ปริศนา ให้สันติชาติอโศกาลัยต้องงุนงงดุจไก่ตาแตกเมื่อท่านกล่าวว่าชีวิตของ สังคม นั้นจะต้องผนึกชีวิตทางภายในของตัวเองให้แนบแน่นอยู่กับความเป็น“ชีวิตของพุทธศาสนา”
และชีวิตของ “สังคม” จะดีได้ “สังคม” นั้นจะต้องตระหนักถึงความเป็น “ไตรลักษณ์” หรือความเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาทั้งของตัว “ชีวิตของสังคม” กับ “ชีวิตของพุทธศาสนา” ให้ได้ด้วยโดยที่ท่านได้ย้ำนักย้ำหนาว่าประเด็นนี้แหละที่เป็น “คำตอบ” ของท่านต่อคำถามเรื่องการทำความดีแล้วไม่ได้ดีอันทำให้สังคมท้อแท้และเต็มไปด้วยความขมขื่นใจที่ “สังคม” ฝากสันติชาติให้มาถามท่านเพราะ “สังคม” นี้เพิ่งเผชิญกับโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในช่วงเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” มาหยกๆ !
ตั้งใจฟังคำพูดของเราให้ดีนะพ่อหนุ่มผู้มีอดีตอันปวดร้าวลึก เราหมายความว่าทั้ง สังคม” และ“พุทธศาสนา ในฐานะที่เป็นชีวิตอย่างหนึ่งเป็นสิ่งอย่างหนึ่งต่างก็ล้วนเกิดมาแล้วก็มีชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่าอายุขัยแห่งเหตุและปัจจัยของสิ่งนั้นๆจะทรงอยู่ได้แล้วถึงเวลาดับสูญสลายไปตาม ธรรมะ”หรือกฎแห่งความจริงแท้ของทุกๆสิ่งในโลกไม่มีละเว้นไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของที่มองเห็นได้จับต้องได้ตั้งแต่เป็นแท่งวัตถุหรือใหญ่โตกว่าโลกอีกไม่รู้กี่ล้านเท่าเช่นดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์ที่เรียกขานว่า รูป ทั้งสิ้นหรือจะเป็นวัตถุที่เล็กย่อยลงไปตามลำดับจนจับต้องไม่ได้ที่เรียกว่า “นาม” ก็ย่อมเกิดมาทรงอยู่และละลายเสื่อมสูญสลายไปในที่สุด”
แม้ความเกิดมาเป็น “ศาสนาพุทธ” ก็เช่นกันอันได้เกิดขึ้นมาโดยมีพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระผู้ให้กำเนิดให้ชีวิตขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนของพุทธศาสนามีชีวิตที่แท้จริงและบริสุทธิ์ผุดผ่องในช่วงแรกเกิดแต่เมื่อเวลาผ่านไปยาวนาเพิ่มขึ้นตามลำดับชีวิตร่างกายของ พุทธศาสนา เป็นตัวตนเติบใหญ่ขึ้นมาในโลกมีผู้คนรู้จักเพิ่มขึ้นก็ย่อมมีความรักความชังเข้าไปพัวพันมีกิเลสเข้าไปร่วมกับชีวิตเข้าไปประกอบร่วมผสมร่วมสร้างชีวิตและก่อเกิด“สังขารธรรม” ทำให้ “ชีวิตของพุทธศาสนา” วิวัฒนาการขึ้นมาเป็น รูปธรรม”
ซึ่งประกอบด้วยพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์และพุทธบริษัทรวมทั้งวัตถุทางโลกอาการทางโลกอาการทางธรรมที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายร่วมกันสังเคราะห์ประกอบขึ้นเป็นอยู่แต่ละสิ่งแต่ละส่วนเช่นนี้แหละคือแต่ละอณูรวมแล้วทั้งหมดเป็น “รูป” ของ “ชีวิตพุทธศาสนา” และมี “นามธรรม” ร่วมอยู่ด้วยนั่นคือ “รส” ของ “ชีวิตพุทธศาสนา” นั่นเองหรือเรียกง่ายๆก็คือ
คุณธรรม ของพุทธศาสนานั่นแหละที่เป็น นาม”ของ ชีวิตพุทธศาสนา
”
เมื่ออริยสงฆ์ท่านนั้นกล่าวถึงตรงนี้สันติชาติก็รู้สึกสะดุ้งราวกับถูกจี้ด้วย ดัชนีใจ”
เขาคิดตามไปว่าถ้าแต่ละสิ่งแต่ละอณูของปัจเจกชนทั้งหมดที่รวมตัวกันเป็น “รูป” ของ “ชีวิตสังคมไทย” แล้ว “คุณธรรม” ของ “สังคมไทย” นั้นก็คือ “นาม” ของ “ชีวิตของสังคมไทย” นั่นเอง !!
และถ้าหากเราต้องการจะผดุงคุณธรรมของสังคมเอาไว้ให้ได้ด้วยการให้ชีวิตของสังคมไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวอย่างแนบแน่นกับ “ชีวิตพุทธศาสนา” นั่นก็คือการทำให้ “อณู” แต่ละส่วนของชีวิตปัจเจกชนที่ร่วมกันสังเคราะห์ขึ้นมาเป็น “รูป” ของสังคมนี้ดำเนินชีวิตด้วยการมี “ศาสนา” เป็น “นาม” หรือเป็น “รส” ของ “ชีวิตภายใน” ของสังคมนั้นเข้าไปด้วยนั่นเอง
อริยสงฆ์ท่านนั้นพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆที่แลเห็น “ศิษย์ฆราวาส” คนนี้ของท่านเริ่มแสดงออกถึงความเข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างแล้วท่านจึงกล่าวสืบต่อไปว่า
“รูปและนามจึงรวมเป็นชีวิตแท้ๆอันหนึ่งและมันก็เริ่มแปดเปื้อนความบริสุทธิ์ผุดผ่องเดิมแท้ที่เป็น “พุทธภาวะ” นั้นก็ถูกฉาบถูกทาด้วย “อำนาจแห่งโลก” ด้วยอำนาจแห่งกฎของความแท้จริงด้วยความจริงแห่งไตรลักษณ์...
ชีวิตของพุทธศาสนา ก็ย่อมจะต้องถูก ความไม่ใช่พุทธ อันเป็นสิ่งที่สกปรกเหล่านั้นฉาบทากลบเกลื่อนทำร้ายเปลี่ยนแปลงให้สึกกร่อนหมดรูป หมดนาม หมดชีวิต ไปเรื่อยๆ แต่ถึงแม้จะรู้แจ้งแก่ใจอยู่อย่างนี้ว่า “พุทธศาสนาและสังคม คือ ชีวิต ชีวิตหนึ่งที่ไม่อาจหลีกพ้นความเสื่อมความชราลงและแล้วสักวันหนึ่งข้างหน้าอันไกลโพ้นก็คงจะหลีกเลี่ยงการดับสูญไปไม่ได้...
แต่ในขณะนี้ในบัดนี้ พวกเราก็ยังมี ตัณหา ยังอยากให้ทั้งพุทธศาสนาและสังคม มีชีวิตอยู่อย่างดีอย่างบริสุทธิ์ที่สุดอย่างถูกต้องตรงแท้ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะ ตัวเรา”และ ตัวเธอ”ต่างก็เป็น พุทธศาสนิกชน”เป็น“สมาชิกของสังคมเหมือนกัน เพราะ ตัวเรา”และ ตัวเธอ”ต่างก็เป็น ผงธุลีหนึ่ง”ที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่างของ พุทธ ของ สังคม เหมือนกัน
ชีวิตของ “เรา” และของ “เธอ” ต่างก็เป็น “พุทธ” ต่างก็เป็น “สังคม
”
ดังนั้น “พุทธ” คือชีวิตของเราคือชีวิตของเธอเราจึงไม่ใช่เราและเธอจึงไม่ใช่เธอ... ดังนั้น “สังคม” คือชีวิตของเรา “สังคมคือชีวิตของเธอเราจึงไม่ใช่เราเธอจึงไม่ใช่เธอ
เรา” เองจึงไม่มีชีวิต “เธอ” เองจึงไม่มีชีวิตเพราะเราเองเป็นเพียงอณูหนึ่งของ “ชีวิตพุทธ” และเธอเองจึงเป็นเพียงอณูหนึ่งของ “ชีวิตพุทธ”... เพราะเราเองเป็นเพียงอณูหนึ่งของ “ชีวิตของสังคม” และเธอเองก็เป็นเพียงอณูหนึ่งแห่ง “ชีวิตของสังคม
”
เราเองเป็นอณูหนึ่งในจิตแห่งพุทธเธอเองก็เป็นอณูหนึ่งในจิตแห่งพุทธ... เราเองเป็นอณูหนึ่งในจิตแห่งสังคมเธอเองก็เป็นอณูหนึ่งในจิตแห่งสังคมเช่นกัน
ตราบใดที่ “ตัวเรา” ยังเป็น “วิญญาณ” ของ “ชีวิตพุทธศาสนา” อยู่ตราบนั้นเราก็ต้องได้ชื่อว่าเป็น “ตัวรู้สึก” หรือ “ตัวรับรู้” ของ “ชีวิตพุทธศาสนา” อยู่... ตราบใดที่ “ตัวเธอ” ยังเป็น “วิญญาณ” ของ “ชีวิตของสังคม” อยู่ตราบนั้นตัวเธอก็ต้องได้ชื่อว่าเป็น “ตัวรู้สึก” หรือ “ตัวรับรู้” ของ “ชีวิตของสังคม” อยู่เช่นกัน
ดังนั้นเมื่อ “วิญญาณ” ยังมีแน่ตราบเท่าที่ทั้งตัวเราและตัวเธอยังไม่ได้ดับ “เวทนา” และเมื่อ “สัญญา” ของตัวเราและของตัวเธอก็คือความสัมผัสกระทบรู้ว่าถ้าใครมาเกี่ยวข้องกระทบมาถูกต้องตัว “ชีวิตพุทธศาสนา” กับ “ชีวิตของสังคม” เมื่อรู้สึกสัมผัสว่าเป็น “ทุกขเวทนา” หรือเป็นการสัมผัสโดยเอาสิ่งไม่ดีมาสัมผัสเข้าทำให้ “ชีวิตพุทธศาสนา” กับ “ชีวิตของสังคมเป็นทุกข์ได้รับความเสื่อมลงทนอยู่ไม่ได้เป็นเหตุจะมาทำให้ “ชีวิตพุทธศาสนา” กับ “ชีวิตของสังคม” ทรุดลงและจะมีอายุที่จะยืนยันอยู่ได้สั้นลง
”
เพราะเหตุนั้นตัวเราและตัวเธอย่อมต้องมี “ตัณหา” แน่คือเป็น “ความอยาก” ที่จะช่วย “ชีวิตพุทธศาสนา” กับ “ชีวิตของสังคม” อันเป็น “วิภวตัณหา” ชั้นสูงที่อยากจะช่วยชีวิตหรือให้ “ภพ” ของ “พุทธศาสนา” กับ “สังคม” ยังอยู่ยังสืบไปได้อยากให้ชาติให้ภพให้ภูมิแห่งพุทธกับสังคมยังมีอยู่ยังคงอยู่ยังสืบไปอยู่ได้
ดังนั้นทั้ง “ตัวเรา” และ “ตัวเธอ” คงจะยังไม่สิ้น “ตัณหา” ได้ตราบนานเท่านานตราบใดเท่าที่ชีวิตของ “ตัวเรา” และ “ตัวเธอ” คือ “ชีวิตพุทธศาสนา” และ “ชีวิตของสังคม
”
.....................
สันติชาติอโศกาลัยขับรถกลับบ้านในกลางดึกของคืนนั้นเองเขาได้พบแล้วว่าเขาควรจะทำอะไรและใช้ชีวิตอย่างไร? ใน “วังวนแห่งทุกข์ของสังคม” ใน “วังวนแห่งการต่อสู้ของสังคม” หลังจากนี้เป็นต้นไป
เขาได้รับทราบแล้วถึง “ดอกผลของฤดูร้อน” เดือนพฤษภาคมปีพ.ศ. 2535 ที่มีต่อตัวเขาและสังคมแม้ว่าดอกผลเหล่านี้จะได้มาด้วยน้ำตาก็ตาม
บทเพลงดอกผลของฤดูร้อน
ของเซาท์เธอร์นออลสตาร์
ฤดูอันแสนเศร้าที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
ได้ฝันว่าเราอยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง
ความรู้สึกอยากร้องไห้ที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
คือวันนี้ฝนอันเย็นยะเยียบก็ยังตกลงมา
เราอดไม่ได้ที่จะต้องทอดถอนหายใจอยู่ตลอดเวลา
แม้จนบัดนี้ฤดูร้อน (ของปีนั้น) ก็ยังเวียนผ่านเข้ามาในหัวใจของเรา
ได้โปรดบอกเถอะว่า ‘เธอยังรักฉันเสมอ’
ได้โปรดพาฉันเข้าไปในความฝันของเธอด้วย
ฉันไม่อาจลืมเลือนได้ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของเธอ
แม้จะไม่กล่าวเป็นคำพูดออกมา
ได้โปรดลบชื่อของฉันที่เขียนไว้บนท้องทรายด้วยนะ (เจ้าคลื่นทะเลเอ๋ย)
บัดนี้เจ้า (คลื่น) จะพัดพาไปสู่ณแห่งหนใด?
คลื่นแห่งความรักพัดมาและก็พัดไป
พร้อมกับได้พัดพาความรักของฉันไปด้วย
มีรักที่ทำให้ร่างกายหนาวสะท้าน
ดุจพระอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิลบ 100 องศา
ดอกผลของฤดูร้องที่แผดกล้าจนเกือบทำให้ล้มลง
ก็ยังคงเบ่งบานอยู่ในหัวใจของเราแม้จนบัดนี้
ถึงเราจะเดินจากมาไกลแล้วแต่เมื่อถึงยามสนธยา
ภาพแห่งความหลังอันร้อนระอุก็ยังปรากฏขึ้นอีกในใจเรา
ฉันไม่อยากแสดงน้ำตาของฉันให้เธอเห็นในค่ำคืนอย่างนี้
ได้โปรดรับปากกับฉันด้วยเถอะว่าฉันจะได้พบกับเธออีก
(ไม่ว่าชาตินี้หรือว่าชาติหน้า)
ฉันไม่อาจลืมเลือนได้ทั้งหัวใจและวิญญาณของเธอ
ซึ่งก่อดอกออกผลให้แก่พวกเราด้วยน้ำตา