ปิดเพื่อเปิด
โดย ชวินทร์ ลีนะบรรจง และ สุวินัย ภรณวลัย
8 มกราคม 2557
ปิดกรุงเทพฯ เพื่อเปิดการปฏิรูปประเทศไทย
กระแสที่กำลังร้อนแรงสุดๆ เป็นที่กล่าวถึงในทุกระดับชั้นของสังคมอยู่ในขณะนี้คงหนีไม่พ้นการปิด กรุงเทพฯ ของ กปปส.ที่กำลังจะเริ่มต้นในวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. 57 ที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเอาชนะระบอบทักษิณได้
ประเด็นเป็นที่วิพากษ์กันอาจสรุปได้เป็น 2 ประเด็นหลักก็คือ จะปิดกรุงเทพฯ ไปทำไมและหากปิดไปแล้วจะมีความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศไทยมากน้อยเพียงใด
ในประเด็นแรก การปิดกรุงเทพฯ ทำไปเพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่กระทำผิดคิดร้ายต่อประเทศไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งหน้าที่ก็ว่าได้
การอ้างว่าได้รับความไว้วางใจจากประชาชนผ่านการเลือกตั้งโดยเป็น เสียงข้างมากในสภาฯ นั้นมิได้หมายความว่าจะเป็นใบอนุญาตให้กระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญหรือละเมิด กฎหมายที่มีอยู่แต่อย่างใดไม่
ตัวอย่างมีให้เห็นเป็นประจักษ์เป็นข้อเท็จจริงปรากฏอยู่มากมาย การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้พี่ชาย การกดบัตรแทนกันของ ส.ส. การผลัดกันเกาหลังให้ ส.ว.เพื่อให้วุฒิสภากลับกลายเป็นสภาผัวเมียเหมือนเดิม แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือการเป็นหุ่นเชิดให้พี่ชายบงการ
มีแต่สื่อสารมวลชน เช่น ไทยรัฐ มติชน ฟรีทีวี หรือนักวิชาการบางคนเท่านั้นที่มองไม่เห็นความผิดของรัฐบาลและส.ส. ส.ว.ที่ได้กระทำลงไป
เรื่องนี้จึงไม่ใช่ความเห็นว่าชอบสีอะไร แต่เป็นเฉกเช่นความจริงว่าการเบิกความเท็จต่อศาลว่าเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ ปหรือไม่ของยิ่งลักษณ์ ความจริงที่ไม่ใช่ความเห็นก็คือขี้นั้นเหม็นจริงหรือไม่
การถอดถอนจึงทำไม่ได้ด้วยกลไกระบบรัฐสภาที่เสียงข้างมากเป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาล
การถอดถอนจึงทำไม่ได้ด้วยระบบจริยธรรมหรือคุณธรรมเพราะรัฐบาลในระบอบ ทักษิณไม่เข้าใจว่าคุณธรรมเป็นอย่างไร จริยธรรมถึงนำมาต้มน้ำให้กินก็ยังไม่รู้รส
พวกโลกสวย เช่น ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มาออกรายการช่อง 3 ของสรยุทธ กล่าวถึงความเป็นคน “ขั้วที่ 3” ที่ร้องขอให้เคารพเสียงของเขาด้วยเพราะเขารักสงบ สันติ และต้องการต่อสู้ด้วยวิธีการทางประชาธิปไตยที่ถูกต้อง จึงกล่าวได้คำเดียวว่า ไร้เดียงสา
แต่ที่บิดเบือนหรือมองข้ามความจริงเหมือนสื่อสารมวลชน เช่น ลม ตะวันตก เขียนในคอลัมม์ ลมเปลี่ยนทิศ ในไทยรัฐเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มองว่าโครงการดีๆ อย่างจำนำข้าวถูกโกงกินโดยใครก็ไม่รู้แต่ยิ่งลักษณ์ไม่รู้เรื่องการโกงนี้ สรุปสุดท้ายที่ต้องไปเลือกตั้ง ลม ตะวันตกหรือนักวิชาการเช่นนิธิจึงไม่แตกต่างกันเพราะไม่มองความจริง
ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลกลับใช้กลไกของรัฐทุกอย่างเพื่อค้ำจุนให้ตนเองอยู่ในอำนาจต่อไป ไม่ต้องพูดถึงตำรวจหรือทหาร การออกมาใช้ทีวีพูลเพื่อพูดเรื่องโกหกหรือใช้แก้ตัวเป็นรายวันของนักการ เมือง คลื่นความถี่เป็นของสาธารณะหาใช่ของส่วนตัวที่จะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วน ตัวเฉพาะรัฐบาลไม่
การออกมา “ยึด” หรือ “ปิด” พื้นที่เพื่อไล่รัฐบาลออกไปจากตำแหน่งจึงเหลือเป็นทางเลือกสุดท้ายของ ประชาชนผู้เป็นเจ้านายของนักการเมืองที่ยึดหลักอหิงสา
หาไม่แล้วการเดินขบวนเพื่อแสดงออกถึงอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย จำนวนหลายล้านคนว่าไม่เอารัฐบาลนี้แล้วจะไม่สงบสันติเหมือนเช่นที่ผ่านมา ไม่ต้องไปดูไกล ดูจากประพฤติปฏิบัติของ นปช.เมื่อปี พ.ศ. 2552-2553 ที่ผ่านมาก็ได้ว่าด้วยคนเพียงไม่เท่าใดหากไม่ประท้วงด้วยความสงบ บ้านเมืองย่อบยับวินาศไปเท่าใด
หากเป็นรัฐบาลในบ้านเมืองอื่นๆ ที่ยึดคุณธรรมและจริยธรรมเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องออกมามากเป็นล้านคนเช่นที่ผ่านมา ก็ละอายใจลาออกไปแล้วเพราะประชาชนแสดงออกถึงการไม่ยอมให้รัฐบาลปกครองตนเอง อีกต่อไปแล้ว
การปฏิรูปก็เฉกเช่นการกระทำเพื่ออนาคต แม้จะรู้ว่ายากลำบากไม่สะดวกสบายแต่ก็ไม่ยอมอยู่กับอดีตหรือปัจจุบันเหมือน เช่นเดิมอีกต่อไป หาไม่แล้วในอนาคตจะเรียกร้องให้คนไทยรักชาติได้อย่างไรในเมื่อรัฐบาลเองก็ ไม่เห็นแก่ชาติ แล้วจะมีใครยอมเสียสละชีพเพื่อชาติอีกต่อไปบ้าง
ทำไมนักการเมืองสหรัฐฯ จึงต้องหว่านล้อมให้ประชาชนสหรัฐฯ เห็นดีด้วยกับการประกาศสงครามกับเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สองทั้งๆ ที่การรบเกิดขึ้นในยุโรปที่ห่างไกลสหรัฐฯ เป็นพันไมล์ ทำไมจึงต้องยอมส่งพ่อส่งลูกส่งหลานคนสหรัฐฯ ไปรบไปตายในสงครามที่สหรัฐฯ ไม่ได้ก่อ
หากนิ่งเฉยเสียคำนึงถึงแต่อดีตความเสียหายจากการเข้าร่วมรบในสงคราม โลกครั้งแรกหรือคำนึงถึงแต่ปัจจุบันว่าคนสหรัฐฯ ก็กินดีอยู่ดีอยู่แล้วจะเอามือไปซุกหีบทำไม ยอมให้คนยุโรปอยู่ภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์และพรรคนาซี หรือยอมให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวอีกหลายล้านคนก็ย่อมได้มิใช่หรือ
แต่ที่ต้องเข้าร่วมรบยอมส่งคนไปตายคงไม่ใช่เพื่อความเห็นอกเห็นใจ หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้นำ แต่เพื่ออนาคตของสหรัฐฯ เองใช่หรือไม่ สหรัฐฯ ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงเจริญก้าวหน้ากลายเป็นมหาอำนาจทั้งทาง เศรษฐกิจและการเมืองมาจนถึงปัจจุบันนี้
การออกมา “ยึด” หรือ “ปิด” พื้นที่เพื่อไล่รัฐบาลออกไปจากตำแหน่งจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ของ ประชาชนผู้เป็นเจ้านายของนักการเมืองที่ยึดหลักสันติอหิงสา เพราะรัฐบาลนี้ขออยู่โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นมา
การปิดกทม.ของ กปปส. กับการทำงานช้าลงหรือไม่ยอมทำล่วงเวลาของคนการบินไทยจนเที่ยวบินล่าช้าบิน ไม่ได้ก็เหมือนกันในแง่ที่ว่า เพราะเตือนแล้วไม่ฟังจึงต้องทำเช่นนี้เป็นทางเลือกสุดท้ายแบบอหิงสาตามสิทธิ ที่ตนเองมีเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมามากกว่านี้อีกมากหาก ปล่อยฝ่ายบริหารชั่วๆ แบบนี้เอาไว้
ส่วนประเด็นเรื่องความเสียหายนั้นไม่ต้องพูดถึงให้รำคาญใจ ถ้าจะเชื่อโต้งผู้โกหกที่ไม่มีใครนับญาติก็เชื่อไปเถิด แต่ความจริงก็คือแค่ความเสียหายขาดทุนจากโครงการจำนำข้าวก็หาคนมาเอาชนะได้ ยากแล้ว มิพักจะพูดถึงความเสียหายจากการลงทุนในโครงการที่ไม่มีความพร้อม เช่น รถไฟความ “เลว” สูงไว้ขนผัก หรือโครงการแก้ไขน้ำท่วมที่จะขุดทางน้ำไหลเส้นใหม่จากนครสรรค์ลงมาถึงอ่าว ไทยโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน
รัฐบาลนี้ได้ทำผิดคิดร้ายต่อประเทศแล้วยังไม่ยอมรับผิด กลับบังคับให้ประชาชนไปเลือกตั้งเพื่อให้พวกมันกลับเข้ามาใหม่ ของเก่าที่ทำเสียหายยังไม่รับผิดชอบแล้วจะมาขอโอกาสรัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรค เพื่อไทยสานงานต่อไปอีกได้อย่างไร บ้าหรือเปล่า!!