พุทธบูรณา รำลึก 100 ปีชาตกาล สืบสานปณิธานพุทธทาส (ตอนที่ 27)
27. โลกอาจรอดได้  แม้เพราะกตัญญู
"คนทุกคนในโลก มีชีวิตอยู่ได้ และมีความสะดวกสบายอยู่ได้  เพราะอาศัยความรู้สติปัญญา ความสามารถของผู้อื่น  อันมีจำนวนมากจนนับไม่ไหว"
พุทธทาสภิกขุ
...ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2497  (ค.ศ. 1954)...สวนโมกข์
เช้าตรู่วันนั้น  อินทปัญโญออกไปเดินจงกรมที่สนามหญ้าหลังกุฏิของเขา  เขาเดินวนเวียนอยู่ในสนามหญ้านั่น  เพื่อขบคิดข้อธรรมบางประเด็นซึ่งตัวเขาใช้เวลาคิดต่อเนื่องมานานวันแล้ว  ผู้คนชอบพูดเสมอว่า ตัวเขามีความฉลาดปราดเปรื่องเหนือคนอื่นหรือมากกว่าใคร  แต่ถ้ามองจากตัวอินทปัญโญเองแล้ว  เขามิได้เคยคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่นหรือมากกว่าใครเลย  เพียงแต่ตัวเขามีเวลาฝึกคิดมากกว่าคนอื่นเท่านั้น  และตัวเขาใช้เวลาและพลังงานส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาทุ่มเทให้กับการคิดมากกว่าคนอื่นเท่านั้น
บริเวณริมสนามหญ้าที่อินทปัญโญกำลังเดินจงกรมอยู่  มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่หลายต้น ชาวบ้านคนหนึ่งพาลิงตัวหนึ่งมาเก็บมะพร้าว  โดยขออนุญาตจากอินทปัญโญ เขาตอบอนุญาตและยืนดู ลิงตัวนั้นขึ้นมะพร้าวด้วยความสนใจ  เพราะโดยปกติเขาก็เป็นคนรักสัตว์อยู่แล้ว
ชาวบ้านคนนั้นถือเชือกล่ามคอลิงไว้  แล้วค่อยผ่อนเชือกตาม เมื่อลิงขึ้นมะพร้าว  ลิงก็ไต่สูงขึ้นไปจนถึงคอมะพร้าวที่มีลูกมะพร้าว ลิงตัวนี้ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว  ชาวบ้านคนนั้นจึงแค่นอนเอกเขนกไกลโคนต้นออกมา แล้วคอยส่งเสียงสั่งการ  เจ้าลิงแสนรู้ตัวนั้นก็จะปลิดมะพร้าวโดยเลือกลูกแก่ๆ ที่เปลือกแห้ง  แล้วบิดหมุนทั้งมือทั้งตีนจนมะพร้าวลูกนั้นร่วงหล่นลงมา
ทำอย่างนี้ไปทีละต้น  สุดท้ายเจ้าลิงตัวนั้นก็ปลิดมะพร้าวอ่อนลงมาด้วย  ซึ่งชาวบ้านคนนั้นจะผ่าเฉาะดื่มน้ำมะพร้าว  แล้วส่งให้เจ้าลิงกินด้วยแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
บางต้นเมื่อเจ้าลิงเริ่มขี้เกียจ  หรือหลงลืมปลิดมะพร้าวแก่ไม่หมดแล้วไต่ลงมา ชาวบ้านคนนั้นก็จะไล่ให้มันขึ้นไปใหม่  โดยกระตุกเชือกแรงๆ พอลิงขึ้นไปแล้ว ก็งัดเอาหนังสติ๊กออกมาง้างสะบัดหนังยางเปล่าๆ  โดยไม่มีลูกกระสุน แค่นี้ก็ทำให้เจ้าลิงลนลานรีบทำงานต่อไปได้แล้ว จึงเห็นได้ว่า  หนังสติ๊กเป็นอาวุธที่ชาวบ้านผู้เป็นเจ้าของลิงใช้กำราบลิงเวลามันอยู่บนยอดมะพร้าว
อินทปัญโญชมดูแล้วก็ได้แง่คิดทางธรรมว่า  เจ้าลิงตัวนั้นก็เหมือนกับจิตคนนี่เอง มันจะคอยวอกแวกอยู่เสมอ  คิดโน่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลาไม่เคยอยู่นิ่ง  ยิ่งจิตที่ไม่เคยฝึกให้สงบก็คงเหมือนกับลิงที่โลดคะนองไปตามฤทธิ์ตามแรงของมัน
จิตที่หมั่นฝึกมาดีแล้ว  ก็เหมือนลิงขึ้นมะพร้าว คือนำจิตที่บังคับได้มาใช้ในการทำงานให้เกิดประโยชน์  สายเชือกที่ล่ามลิงก็คือ สติ ที่คอยกำกับคอยรั้งให้คอยรำลึกได้อยู่เสมอ  ส่วนเจ้าของลิงก็คือ ตัวปัญญา  ที่จะเป็นผู้คอยกำหนดเป้าหมายและทิศทางในการทำงานของจิต โดยหนังสติ๊กคือ  สัมปชัญญะ ที่ใช้ควบคู่อยู่กับสายเชือกล่ามคือ  สติ
หลังจากเสร็จจากการเดินจงกรมที่สนามหญ้าแล้ว  อินทปัญโญกลับมานั่งที่ม้าหินหน้ากุฏิของเขา สุนัขที่เขาเลี้ยงไว้  ซึ่งตามปกติมันจะนอนอยู่ใต้ม้าหิน ลุกขึ้นและเดินไปต้อนรับเขา  พร้อมกับเข้ามาเลียแข้งเลียขาประจบเขา ขณะที่ไก่แจ้ที่อินทปัญโญก็เลี้ยงไว้  ก็ขึ้นไปอยู่บนบ่าเขา ตอนที่เขานั่งบนม้าหินแล้ว มันขันเกรียวอยู่ข้างหูเขา  แต่อินทปัญโญก็นั่งนิ่งเฉยไม่ว่าอะไร  สายตาที่อินทปัญโญมองสัตว์เหล่านี้เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
สักพักอินทปัญโญก็ลุกขึ้นเดินไปที่บ่อปลาที่อยู่ข้างกุฏิของเขา  เขาเป็นคนที่ชอบเลี้ยงปลามาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว  และสามารถนั่งดูปลาได้ทั้งวันด้วยจิตที่เป็นสมาธิ สัตว์เลี้ยงต่างๆ  ที่เขาเลี้ยงไว้นั้น อินทปัญโญถือว่าเขาเลี้ยงไว้เป็นครู  เพราะตัวเขาเป็นคนช่างสังเกต  และสามารถเรียนรู้อะไรต่ออะไรได้มากมายจากการนั่งดูสัตว์ต่างๆ  เหล่านี้
บ่ายวันนั้น  อินทปัญโญเดินเลาะเลี้ยวเข้าไปในป่าถึงทางที่ธารน้ำไหลผ่าน  น้ำใสสะอาดจนมองเห็นทรายพูนเป็นสันสีน้ำตาลแกมทองอยู่ใต้น้ำ  เงาในน้ำสะท้อนภาพภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งที่เริ่มมีผมสีดอกเลาประปรายอยู่เต็มศีรษะ  สวมแว่นตากรอบดำ ห่มจีวรสีกรักคร่ำ จุดที่เด่นที่สุดคือ  ดวงตาที่มีแววประกายเฉลียวฉลาดกว่าบุคคลทั่วไปของเขา นอกจากนั้น  เขาก็ดูไม่ต่างจากพระทั่วๆ  ไปแต่อย่างใด
หลังจากที่อินทปัญโญจับจิตอยู่กับสายน้ำจนเป็นอารมณ์สมาธิได้ครู่ใหญ่  เขาก็ผละจากลำธารที่มีสายน้ำใสหลั่งรินมาไม่ขาดสาย  เดินลึกเข้าไปจากทางเดินไปยังกุฏิหลังหนึ่ง  กุฏิเรือนน้อยหลังนี้โดดเดี่ยวอยู่บนลานดินแข็งเรียบ สีน้ำตาลเตียนรื่น  บริเวณลาดดินข้างกระไดครึ้มเขียวด้วยตะไคร่แผ่กว้างออกไปตามแนวหินที่ตัวเขาเอามาวางเรียงล้อม  ก้อนเล็กก้อนน้อยหลากสี เป็น "สวนหินแบบเซน"  ที่อินทปัญโญรังสรรค์มันขึ้นมา
สวนหิน นี้คือ จักรวาลน้อยๆ  แห่งความงามในโลกของอินทปัญโญ มันเป็นจักรวาลเล็กๆ ที่งดงามอย่างมีตำหนิ  และเป็นความงามที่เปราะบาง  แต่ก็เป็นความงามที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในธรรมชาติ  และเชิดชูในความเป็นธรรมชาติ
ภายในสวนหินนี้มีหินขาวก้อนใหญ่วางอยู่สีขาว  สีเขียว และสีน้ำตาล จึงตัดกันให้ความรู้สึกที่ชัดเจนบางอย่าง  พื้นดินลดลาดลงไปอีกชั้นเป็นพื้นเตียนเด่น มีตอไม้และหินตั้งไว้นั่งเล่น  อินทปัญโญนั่งลงบนตอไม้ กาย ใจ และปราณของเขารวมเป็นหนึ่งเดียว  และหลอมรวมแนบแน่นจนเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่แห่งนี้
ใต้ต้นไม้ต่างๆ  รอบสถานที่แห่งนี้ซึ่งบัดนี้กลายเป็นจักรวาลน้อยๆ  แห่งความงามตามธรรมชาติของอินทปัญโญ เขาได้ยินเสียงลมพัดผ่านอย่างชัดเจน  กิ่งใบของต้นไม้แต่ละต้น  พร้อมใจกันผันลู่พรูพร่างเหมือนกับกำลังทักทายอินทปัญโญ
ผีเสื้อป่าปีกกว้างบินฉวัดเฉวียนอยู่รายรอบอินทปัญโญราวกับกำลังระบำรำฟ้อนให้  ภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ รูปนี้ชมดู ก่อนที่จะบินไปเกาะสงบอยู่ใต้ร่มไม้  ขณะที่มดดำบนพื้นจำนวนมากมายเข้าแถวยาวเหยียดราวกับกำลังเดินพาเหรดสวนสนามให้ความเคารพอย่างสูงแก่  มหาโพธิสัตว์รูปนี้ ที่กลับลงมาเกิดเพื่อเผยแผ่ พุทธธรรมที่แท้  ให้แก่แผ่นดินสยามในฐานะที่ตัวเขาเป็นพุทธทาส
ยิ่งเพ่ง  อินทปัญโญก็ยิ่งรู้สึกราวกับว่า ตัวเขาสามารถสนทนากับสรรพชีวิตรอบข้างได้รู้เรื่อง  เพราะจริงๆ แล้ว เขาก็กำลังคุยกับผีเสื้อ คุยกับมดดำ  และคุยกับยอดไม้ที่กำลังหยอกล้ออยู่กับลมระเริงด้วยจิตที่เบิกบาน ปราโมทย์  และเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณา
"เจ้าสัตว์เล็กๆ  เอ๋ย...เจ้าก็คงมีความรู้สึกรู้สม มีความทุกข์ร้อน  และต้องหวาดระแวงภัยอยู่ตามประสาของเจ้าเช่นกันกับมนุษย์สินะ..."
"เจ้ามีน้ำตาไหม  หรือว่ามีแต่เสียงร้องครวญครางเท่านั้น เสียงร้องและน้ำตาที่พวกมนุษย์ไม่เคยเห็น  ไม่เคยได้ยิน..."
"เจ้าจงรู้ไว้ด้วยเถิดว่า ที่นี่ปลอดภัย  ที่นี่ไม่มีใครเบียดเบียนเจ้า เราสร้างสวนโมกข์ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อพวกมนุษย์เท่านั้น  เราสร้างที่นี่เพื่อพวกเจ้าด้วย  จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีไมตรีจิต"
แม้แต่ความร่วงโรยของใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นก็กลายเป็นความงามอย่างโศกซึ้งในสายตาของอินทปัญโญ  นี่คือความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียบง่าย  ชีวิตที่รุ่มรวยทางจิตวิญญาณแม้จะอยู่อย่างสมถะโดยสมัครใจ  เพียงแค่เอาชนะความหรูหราอลังการที่จอมปลอม และฉาบฉวยด้วยความเรียบง่ายอย่างติดดิน  และไม่สมบูรณ์แบบ แต่มีจิตใจที่จดจ่อเป็นสมาธิกับสิ่งที่มีอยู่  สิ่งที่เป็นอยู่และปรากฏอยู่จริง  เพื่อเปิดโอกาสให้ตนเองสามารถเข้าถึงธรรมชาติอย่างบูรณาการในขั้นสูงสุดของการดำรงอยู่  จนกระทั่งตระหนักรู้ใน ธรรมอันศักดิ์สิทธิ์  ได้อย่างเป็นไปเองโดยธรรมชาติ
ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ได้  ผู้นั้นจะต้องสามารถชะลอความเร็วในการรีบเร่งใช้ชีวิตลงได้เสียก่อน  สามารถมีความใจเย็น มีความอดทนและใส่ใจพอที่จะมองอย่างใกล้ชิด ฝึกฝนศิลปะต่างๆ  อันสุขุมประณีตได้เท่านั้น  ผู้นั้นจะต้องซาบซึ้งและแลเห็นคุณค่าในความไม่จีรังของชีวิต  เขาจึงสามารถเหยียบย่างบนโลกใบนี้อย่างแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน  และรู้ถึงวิธีที่จะซาบซึ้งในคุณค่าไม่ว่ากับสิ่งใดก็ตามที่เข้ามาเผชิญหน้ากับตัวเขา  แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักเพียงไรก็ตาม
เมื่อใดก็ตามที่คนเราสามารถหยุดความหมกมุ่นที่ตนเองมีต่อความสำเร็จทั้งหลาย  ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่ง สถานะทางสังคม อำนาจและความฟุ้งเฟ้อได้  ผู้นั้นก็ย่อมสามารถหันมาเบิกบานกับชีวิตได้เลยในทันที ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้  โดยไม่ถูกฉุดรั้งด้วยความยึดติดใดๆ
วันรุ่งขึ้น  อินทปัญโญได้เขียนบทความออกมาชิ้นหนึ่งชื่อ "โลกอาจรอดได้  แม้เพราะกตัญญูกตเวที" ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องจากปัญญาชนรุ่นหลังๆ ว่า  เป็นบทความที่เด่นบทหนึ่ง  ที่แสดงให้เห็นถึงโลกทัศน์แบบพุทธที่มีลักษณะนิเวศวิทยาอยู่ในตัว