บนเส้นทางแห่ง "มังกรบูรณา"
1 ก้าวแรก
แม้จนบัดนี้  ตัวผมก็ยังเชื่ออย่างไม่คลางแคลงใจเลยว่า "มนุษย์เป็นผลผลิตของยุคสมัย"  จริงอยู่มีมนุษย์บางคนที่ได้สร้างและสามารถสร้าง "ยุคสมัย" ของเขาขึ้นมาได้ก็จริง  แต่คนประเภทนี้หายากและมีจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับผู้คนส่วนใหญ่  และแม้แต่คนที่หายากและมีจำนวนน้อยนิดเหล่านี้  ในช่วงแรกเริ่มแห่งการเติบใหญ่ของพวกเขา  ก็น่าที่จะเป็นผลผลิตของยุคสมัยเช่นกัน
อย่างที่ได้เคยเขียนไว้ใน "มวยจีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า" (2533)  อย่างละเอียดแล้วว่า ผมได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น  ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) เมื่ออายุยังไม่ครบ 18 ปีดี  และเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในรุ่นกลุ่มนักเรียนต่างชาติทั่วโลกที่ได้รับทุนนี้ในปีนั้น  ขณะนั้นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เพิ่งจบลงไม่กี่เดือน ผมออกมา  "ผจญภัยและแสวงหาทางปัญญา" ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง ความใฝ่ฝัน  อุดมการณ์ และอุดมคติ อันเป็น "กลิ่นอาย" ของคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวใน  ยุคสมัยของพวกผม
หลังจากที่ค้นพบตัวเองในช่วงปลายปี ค.ศ. 1975 ขณะที่ตัวเองเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง  แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต แล้วว่า  ตัวเองต้องการเป็นนักคิดแบบลัทธิมาร์กซ์ผมจึงตัดสินใจทำเรื่องขอย้ายคณะไปเรียนคณะเศรษฐศาสตร์  ซึ่งได้ชื่อว่าโด่งดังทางด้านเศรษฐศาสตร์มาร์กซิสต์ ที่สุดในญี่ปุ่นขณะนั้น  นี่เป็นก้าวแรกของการเริ่มศึกษา "วิชา นอกรีต"  ของผมและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตัวผมอย่างสิ้นเชิงหลังจากนั้น
ผมยังจำได้ดีว่าในวันที่มีการสอบสัมภาษณ์ตัวผมโดยคณบดี  คณะเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโตเพื่อทดสอบความพร้อมของผมในการเข้าเรียนที่คณะนี้นั้น  ท่านศาสตราจารย์มาเองาว่า คณบดี ได้หยิบหนังสือ "รัฐและการปฏิวัติ"  ของเลนินฉบับแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วกางหน้าประมาณกลาง ๆ  เล่มให้ผมอ่านข้อความในนั้นด้วยเสียงอันดังตลอดทั้งหน้า
ความที่ผมได้ศึกษาด้วยตัวเองมากว่าครึ่งปีแล้วโดยการอ่านหนังสือภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับเรื่อง  "วัตถุนิยมประวัติศาสตร์" "ว่าด้วยความขัดแย้ง" ฯลฯ  มาแล้วทำให้ผมมีความเข้าใจและรู้ศัพท์เฉพาะของลัทธิมาร์กซ์ที่เป็นภาษาญี่ปุ่น  พอที่จะผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งนั้นได้
เหตุการณ์แบบนี้สำหรับนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่นน่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้น  ลัทธิมาร์กซ์เป็น "วิชานอกรีต" สำหรับสังคมไทยมาโดยตลอดก็จริง  แต่สำหรับสังคมญี่ปุ่นที่ผ่านความเจ็บปวดจากระบบเผด็จการทหารและการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สองมาแล้วนั้น  แทบไม่มีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น "ปัญญาชนญี่ปุ่น"  คนไหนในยุคสมัยนั้นที่ไม่เคยศึกษาหรืออ่านงานของคาร์ล มาร์กซ์ มาบ้าง ในยุคนั้น  "ลัทธิมาร์กซ์" เป็นป้ายบ่งบอกความเป็น "ปัญญาชนหัวก้าวหน้า" ของคนเกือบทั่วทั้งโลก  ผมเคยเจอข้อความแดกดันที่เขียนโดยนิรนามไว้ในมหาวิทยาลัยเกียวโตซึ่งมีบรรยากาศใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในยุคหนึ่งว่า
"ลัทธิมาร์กซ์เป็นฝิ่นของปัญญาชน "……..ซึ่งน่าจะมีความจริงอยู่บ้าง
2  มนต์ขลังของลัทธิมาร์กซ์
ไม่ว่าใครก็ตามที่ศึกษาสังคมศาสตร์อย่างจริงจัง  และได้มาเผชิญกับระบบชุดความคิดและภูมิปัญญาของลัทธิมาร์กซ์  คนผู้นั้นย่อมจะอดทึ่งไม่ได้ในความโอฬารของมันซึ่งมีทั้งปรัชญา  ประวัติศาสตร์ ทฤษฏีเศรษฐกิจ ทฤษฏีการเมือง ทฤษฏีสังคม(ชนชั้น)  ทฤษฏีองค์การจัดตั้งและทฤษฏีปฏิวัติ !!!
ลัทธิมาร์กซ์มีความโอฬารในองค์ความรู้และพลังตรรกะที่แกร่งยิ่งต่อการโน้มน้าวให้คนหนุ่มสาวที่หลงไหลในการเป็นนักคิดต้องยอมสยบในฐานะที่เป็นยักษ์ใหญ่แห่งโลกความคิดที่ยากจะก้าวข้ามได้  
มรรควิธีของมาร์กซ์ในวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ประสานวิภาษวิธี  (Dialectic)  อันเป็นมรรควิธีในการรับรู้ทางปรัชญากับมรรควิธีของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ที่เป็นการนำเอาวิภาษวิธีมาประยุกต์ใช้ในปริมณฑลของสังคมและประวัติศาสตร์เพื่อ  "รับรู้ปัจจุบัน" และ "รับรู้ส่วนทั้งหมด" (Totality)  แม้จนบัดนี้ก็ยังเป็นมรรควิธีที่ทรงพลังอยู่แม้จะไม่สมบูรณ์และถูกต้องไปหมดก็ตาม  
การศึกษาลัทธิมาร์กซ์ ทำให้ตัวผมถูกเทรนให้โน้มเอียงไปในทาง  "บูรณาการศาสตร์" (Integral Studies)  ตั้งแต่แรกเริ่มแห่งการเดินอยู่บนเส้นทางนักคิดแล้ว
3 โอกาส
ผมศึกษา "ประวัติศาตร์เศรษฐกิจแนวลัทธิมาร์กซ์"  จาก ศาสตราจารย์ นากามูระ ศึกษา "เศรษฐกิจญี่ปุ่นแนวเศรษฐศาสตร์การเมือง"  จากศาสตราจารย์ อิเกงามิ และศาสตราจารย์ คิฮาระ  แต่คนที่ผมเดินตามรอยและย่ำซ้ำทางอารมณ์และความคิดมากที่สุดในฐานะที่เป็นผู้ศึกษาลัทธิมาร์กซ์คือศาสตราจารย์  ยุอาซะ ทาเกโอะ งานเขียนของผมในเชิงลัทธิมาร์กซ์ไม่ว่าจะเป็น  "บททดลองเสนอสังคมนิยมในแง่ของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์" "ความอับจนของลัทธิเหมา"  "พลวัตรโปแลนด์" "ลัทธิบอลเชวิกของเลนิน" "ลัทธิมาร์กซ์ที่ไร้มาร์กซ์"  "ทฤษฏีปฏิบัติการมวลชนของโรซ่า ลุกเซมเบอร์ก" "บทสังเคราะห์ทฤษฏีองค์การของเลนิน"  และ "ทฤษฏีการปฏิวัติถาวรของทรอตสกี้" จะมากจะน้อยล้วนมีตัวตนของท่านอาจารย์ยุอาซะ  ดำรงอยู่
ผมตกตะลึกกับโศกนาฏกรรมของขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม และ "ตาสว่าง"  ในข้อจำกัดของลัทธิมาร์กซ์ที่ไร้มาร์กซ์ก็จากงานค้นคว้าทีทุ่มเทสุดชีวิตของ  "คนใน"  ขบวนการที่เป็นนักคิดและปัญญาชนอย่างครูทั้งหลายของผมที่เอ่ยนามมานี้นั่นเอง
ตัวผมเองศึกษาและเขียนงานข้างต้นออกมาท่ามกลางและภายหลังการล่มสลายของขบวนการปฏิวัติในประเทศไทยที่เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 สิ่งที่ตัวเองได้รับรู้มาเกี่ยวกับ "ด้านมืด" ของลัทธิมาร์กซ์และขบวนการสังคมนิยมนั้น ในด้านหนึ่งมันทำให้ตัวผมรู้สึกหดหู่และโดดเดี่ยวในโลกความคิดเป็นอย่างยิ่ง
ในช่วงนั้นถ้าหากไม่เกิดการปรากฏตัวของ "กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองจุฬาฯ"  ซึ่งมีท่านอาจารย์วารินทร์ วงหาญเชาว์ ท่านอาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา  ท่านอาจารย์สุธี ประศาสน์เศรษฐ ท่านอาจารย์กนกศักดิ์ แก้วเทพ ท่านอาจารย์ปรีชา  เปี่ยมพงศ์สานต์ ท่านอาจารย์แล ดิลกวิทยรัตน์ ท่านอาจารย์ณรงค์ เพชรประเสริฐ  ท่านอาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร ท่านอาจารย์ธีรนาถ กาญจนอักษร ท่านอาจารย์สังศิต  พิริยะรังสรรค์ ท่านอาจารย์สุภา ศิริมานนท์  และเพื่อนร่วมแนวคิดต่างสถาบันอย่างท่านอาจารย์ไกรศักดิ์ ชุณหวัณ  ตัวผมก็คงไม่ได้รับโอกาสให้มี "พื้นที่" อยู่ในสังคมไทยนี้ในฐานะ นักคิดมือใหม่  และคงไม่มีโอกาสได้พัฒนาความคิดของตัวเองหลังจากนั้นมาอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้  บุญคุณของท่านอาจารย์แต่ละท่านที่ผมเอ่ยนามมาข้างต้นยังคงอยู่ในความทรงจำของตัวผมไม่รู้ลืมแม้จนทุกวันนี้  เพราะถ้าหากไม่เกิด "กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองจุฬาฯ"  ซึ่งก็เป็นผลผลิตของยุคสมัยเช่นกัน  เข้ามารองรับและเคลื่อนไหลอย่างกระตือรือล้นในช่วงทศวรรษที่ 1980  สิ่งที่ตัวผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับลัทธิมาร์กซ์และสังคมนิยมตลอดเวลา 10  ปีเต็มในญี่ปุ่นคงเป็นแค่ "วิชานอกรีต"  และไม่สามารถเป็นพื้นฐานให้ผมได้พัฒนาตัวเองเข้าสู่การบูรณาการกับ  "ภูมิปัญญาตะวันออก"  จนกระทั่งกลายเป็นแนวทางและสำนักความคิดสำนักหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อคนกลุ่มหนึ่งในสังคมนี้ในยุคนี้ได้
4  การแยกทางกับลัทธิมาร์กซ์
การหย่าร้างแยกทางอย่างฉันท์มิตรกับลัทธิมาร์กซ์ของผมเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปลายปี  พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) เมื่อผมเขียน "ความคิดที่กำลังข้ามพ้นความคิดสังคมนิยม"  ออกมานำเสนอในการประชุมสมัชชาวิชาการครั้งที่ 4 ตอนนั้นผมรู้ในใจชัดเจนแล้วว่า  แนวทางแบบสังคมนิยมที่กำลังดำเนินอยู่ทั่วโลกนี้ไปไม่รอดแน่และจำต้องแสวงหาแนวทางใหม่ที่ดีกว่าและก็เป็นจริงตามคาดอีกสี่ปีต่อมาหลังจากที่ผมเสนอข้อเขียนชิ้นนี้สหภาพโซเวียตล่มสลายและจีนแดงค่อย  ๆ สลายความเป็น "สังคมนิยม" ของตนออกไป
ในตอนหนึ่งของข้อเขียนชิ้นนี้  ผมได้เขียนไว้ว่า
…….อันกรอบความคิดของลัทธิหนึ่ง ๆ หรือระบบความรู้หนึ่ง ๆ นั้น  ยากยิ่งที่จะไม่ถูกจำกัดโดยประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมได้  แน่นอนว่าถ้าหากความคิดหนึ่ง ๆ ยังติดยึดอยู่กับประสบการณ์เดิม ข้อเท็จจริงเดิม  และความเป็นจริงเดิมโดยไม่ยอมรับประสบการณ์ใหม่ ข้อเท็จจริงใหม่  และความเป็นจริงใหม่อย่างสิ้นเชิงแล้ว  ความคิดนั้นก็ยากยิ่งที่จะรักษาพลวัตของมัน  และยากยิ่งที่จะรักษาพลังชีวิต (Vitality) ของมันให้มีอยู่ต่อไปได้  เพราะความคิดทางสังคมก็เป็นดั่งเช่นการว่ายน้ำทวนกระแส  หากหยุดยั้งอยู่กับที่เท่ากับเป็นการถดถอยและการถดถอยของ "ความคิดทางสังคมนั้น"  ก็เป็นก้าวแรกของการย่างก้าวไปสู่ "ความตาย" ของความคิดนั้นด้วย
แต่ทว่าผลกระทบที่ประสบการณ์ใหม่ ข้อเท็จจริงใหม่  และความเป็นจริงใหม่มีต่อความคิดทางสังคมหนึ่ง ๆ นั้นสามารถเป็นได้หลายระดับ  บางครั้งเพียงแต่แก้ไข ปรับปรุง  เนื้อหาบางส่วนของความคิดนั้นก็สามารถบรรเทาและผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปได้  แต่บางครั้งก็อาจจำเป็นต้อง "ผ่าตัด"  เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของความคิดนั้นขนานใหญ่ภายใต้กรอบความคิดเดิมถึงจะรักษาพลังดึงดูดของความคิดนั้นเอาไว้ได้
แต่ก็มีบางครั้งซึ่งมักเป็นแค่นาน ๆ ครั้งที่ประสบการณ์ใหม่ ข้อเท็จจริงใหม่  และความเป็นจริงใหม่เหล่านี้ผลักดันให้นักคิดนักทฤษฏีต้องเผชิญกับปัญหาการทบทวนระบบความคิดนั้นในขั้นพื้นฐานซึ่งนำไปสู่การแสวงหากรอบความคิดหรือพาราไดม์  (Paradigm) อันใหม่
ผู้เขียนคิดว่า  ปัญหาการอับตันของความคิดสังคมนิยมหรือลัทธิมาร์กซ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้นั้น  (ค.ศ. 1986) น่าจะจัดอยู่ในกรณีท้ายสุด……..
ผมแยกทางจากลัทธิมาร์กซ์มาอย่างฉันท์มิตรและอย่างไม่ได้ล้มละลายทางความคิด  ที่บอกว่า "อย่างฉันท์มิตร"  ในความหมายที่ว่าผมยังยอมรับและชำนาญในการใช้วิภาษวิธี (Dialectic)  อันเป็นตรรกวิทยาแห่งการเข้าใจธรรมชาติ จักรวาลและความเปลี่ยนแปลงอยู่  แต่ผมเลิกที่จะยอมรับ "วัตถุนิยมประวัติศาสตร์" แล้วเท่านั้น  (ต่อมาผมได้นำวิภาษวิธีนี้ไปใช้ในการศึกษาและฝึกฝนศาสตร์ตะวันออก  ซึ่งทำให้ตัวผมสามารถรุดหน้าในศาสตร์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วมาก  เพราะโดยแก่นแท้ของศาสตร์เหล่านี้เป็นวิภาษวิธีซึ่งชาวบ้านเข้าถึงได้ยาก)  
ที่บอกว่า "ไม่ได้ล้มละลายทางความคิด"  ในความหมายที่ว่าผมรู้สึกและตระหนักได้ว่าตัวผมในวัยสามสิบปีขณะนั้นที่ได้ผันตัวเองเข้าสู่วิถีบูรพามาพอสมควรแล้ว  ได้เติบใหญ่ทางความคิดและประสบการณ์ชีวิตเกินกว่าที่ระบบความคิดแบบลัทธิมาร์กซ์ที่ตัวผมต้องมนต์ขลังในวัยหนุ่มน้อยจะร้อยรัดมัดตัวมัดใจผมได้อีกต่อไปแล้ว  ผมกำลังก้าวเดินบนวิถีของตัวผมเองในช่วงนั้นผมมีประสบการณ์ทางวิญญาณกับคำพูดต่อไปนี้ของบายาซิดคุรุแห่งนิกายซูฟีของอิสลามที่เคยพูดถึงตัวเขาเองไว้ว่า
"ผมเคยเป็นนักปฏิวัติเมื่อผมยังหนุ่มและสิ่งที่ผมภาวนาทุกครั้งต่อพระผู้เป็นเจ้าในขณะนั้นก็คือว่า…….โอ  ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  ขอพระองค์ทรงได้โปรดประทานพลัง(ฤทธิ์)แก่ข้าพเจ้าเพื่อการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ด้วยเถิด"
"……แต่เมื่อผมย่างเข้าสู่วัยกลางคนและได้เริ่มตระหนักว่ากว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตผมได้ผ่านไป  โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงวิญญาณเดียวของตัวผมเอง  ผมจึงได้เปลี่ยนคำสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าไปเป็นว่า……โอ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  ขอพระองค์ทรงได้โปรดประทานพรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่ผู้คนทั้งปวงที่ได้เข้ามาสัมผัสกับข้าพเจ้าแม้เพียงแค่เป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อน  ๆ ข้าพเจ้าก็มีความพอใจแล้ว"
"……บัดนี้  ผมได้กลายเป็นคนชราไปเสียแล้วและเวลาของผมที่จะอยู่ในโลกนี้ก็เหลือน้อยลงทุกที  ในตอนนี้ ผมมีคำภาวนาอยู่อย่างเดียวที่จะขอต่อพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือ……โอ  ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าขอพระองค์ทรงได้โปรดประทานพรให้ตัวข้าพเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ด้วยเถิด……ถ้าหากตัวผมได้ภาวนาเช่นนี้มาตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตวัยหนุ่ม  ชีวิตของผมคงไม่สูญเปล่าไปมากมายขนาดนี้"
แปลกแต่จริง !  หลังจากที่ตัวผมได้เลือกเดินบนวิถีบูรพาอันเป็นวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกมากว่ายี่สิบปีแล้ว  ตัวผมกลับสามารถส่งผลสะเทือนต่อความคิดและชีวิตของผู้คนที่ได้อ่านงานเขียนเชิงภูมิปัญญาตะวันออกของผมให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจได้มากกว่าในสมัยที่ผมเขียนงานแนวลัทธิมาร์กซ์ออกมาเสียอีก
5 ศึกษาทุนนิยมบรรษัท
ผมย้ายความสนใจจาก "ความคิดสังคมนิยม"  ไปสู่การศึกษาเศรษฐกิจแบบ "ยึดตัวตนเนื้อหาเป็นหลัก" (Substantive)  หนังสือเรื่อง "Capital Accumulation in Thailand : 1855 - 1985" ของอาจารย์  ซุเอฮิโร่ อากิร่า ที่ศึกษาพัฒนาการสะสมทุนในประเทศไทยในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1855 -  1985  ซึ่งเป็นงานประวัติศาสตร์เศรษฐกิจที่สืบทอดงานศึกษาของสำนักฉัตรทิพย์อย่างสร้างสรรค์เป็นงานที่ผมชื่นชอบมากและอยากจะสานต่อ  ซึ่งต่อมาผมได้ผลิตงานเขียนแนว "ทุนนิยมบรรษัท" ออกมาหลายชิ้น อาทิเช่น  "ทฤษฎีบรรษัทข้ามชาติ" "บริษัทญี่ปุ่นกับการเป็น NIC ของประเทศไทย" ฯลฯ  โดยตัวผมมุ่งในการเน้นศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันของทุนญี่ปุ่นที่แห่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างมืดฟ้ามัวดินในช่วงระหว่างปี  ค.ศ. 1987 - 1988 และคาดการณ์อนาคตของประเทศไทยจากมุมมองนี้
ช่วงนั้นเป็นช่วงหนึ่งในชีวิตของผมที่ออกไปวิจัยภาคสนามตามโรงงานของบริษัทญี่ปุ่นและบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่น  - ไทย นับเป็นร้อย ๆ โรงงาน  อีกทั้งได้ศึกษาระบบการจัดการแบบญี่ปุ่นและการสร้างทักษะแรงงานฝีมือของบริษัทญี่ปุ่นอย่างเอาการเอางานอีกด้วย  จนในปี ค.ศ. 1992  ผมได้รับปริญญาเอกแบบรอมบุนฮาคาเซะจากการนำเสนอวิทยานิพนธ์เป็นภาษาญี่ปุ่นเรื่อง  "บรรษัทข้ามชาติญี่ปุ่นกับพัฒนาการทุนนิยมในประเทศไทย"  โดยที่กรอบความคิดที่ผมใช้เป็นดังนี้
"เป็นการยากยิ่งที่จะปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่า  องค์ประธานทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในการผลักดันเศรษฐกิจทุนนิยมสมัยใหม่นั้นก็คือ  บรรษัท (Corporation) ฉะนั้นในการวิเคราะห์เศรษฐกิจทุนนิยมของประเทศหนึ่ง ๆ  อย่างเป็นรูปธรรมนั้น เราจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องศึกษาความเป็นมา  ความเป็นไปของกลุ่มธุรกิจ หรือกลุ่มบรรษัทขนาดใหญ่ของประเทศนั้น  รวมทั้งของบรรษัทข้ามชาติที่มีบทบาทอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ -  การเมืองและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้น"
และในการวิเคราะห์ "ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์" อันเนื่องจากการจะกลายเป็น NIC  (ประเทศอุตสาหกรรมใหม่)  ของประเทศไทยที่ได้โอกาสนี้จากการที่ทุนญี่ปุ่นแห่เข้ามาลงทุนโดยตรงในประเทศไทยอย่างมากมายมหาศาลในช่วงครึ่งหลังของทศวรรที่  1980 ตัวผมได้จำแนกปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ออกเป็น 7  ระดับตามมรรควิธีทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของมาร์กซ์ซึ่งเป็น "วิถีลงล่าง"  (Weg Der Absteigung)  ที่เริ่มจากการวิเคราะห์ในระดับกว้างที่สุดไปจนถึงระดับที่เป็นหน่วยของการวิเคราะห์ที่เล็กที่สุดคือ  "คน" ดังต่อไปนี้
(1)  ปัญหาการเลือกประเภทของการพัฒนาเศรษฐกิจ
(กรอบการวิเคราะห์ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ)
(2)  ปัญหาการแบ่งงานระหว่างประเทศ
(กรอบการวิเคราะห์ในระดับสากล)
(3)  ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นแบบทวิลักษณะ (Dual  economy)
(กรอบการวิเคราะห์ในระดับประเทศเดียว)
(4)  ปัญหายุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรม
(กรอบการวิเคราะห์ในระดับภาคเศรษฐกิจ)
(5)  ปัญหาองค์กรอุตสาหกรรม
(กรอบการวิเคราะห์ในระดับกลุ่มธุรกิจ)
(6)  ปัญหาระบบการบริหารของบริษัท
(กรอบวิเคราะห์ในระดับบริษัทเดี่ยว)
(7) ปัญหา  "คน" หรือ  "ทรัพยากรมนุษย์"
(กรอบการวิเคราะห์ในระดับโมเลกุลที่เป็นองค์ประกอบของบริษัทเดี่ยว)
เป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1988 แล้วที่ตัวผมได้ออกมาเตือนว่า  "ถ้าหากประเทศไทยประสบความล้มเหลวในการกลายเป็น NIC  ประเทสไทยจะกลายเป็นทุนนิยมจำแลง (Ersatz Capitalism)  "คำว่าทุนนิยมจำแลงนี้เป็นคำที่ผมใช้เรียกก่อนที่จะใช้คำว่า  "ทุนนิยมฟองสบู่"  ในเวลาต่อมาสิ่งที่ผมกังวลที่สุดภายหลังจากที่ตัวผมหันมาทุ่มเทให้กับการศึกษาอนาคตของทุนนิยมไทย  ในที่สุดก็เกิดขึ้นจริง ๆ เพียงแค่ 9 ปี  หลังจากงานเขียนชิ้นนี้ของผมราวกับเป็นชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  แม้ตัวผมจะได้ออกมานำเสนอเพื่อเตือนภัยอีกครั้งในงานเขียนเรื่อง "ทุนนิยมฟองสบู่"  ในปี ค.ศ. 1993 แล้วก็ตาม
6 เขียน  "เศรษฐศาสตร์กำลังภายใน"
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในการศึกษาวิจัยของผมอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่ผมศึกษาปัญหา  "คน" ในทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ ซึ่งพฤติกรรมของ "คน"  ในทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ที่ผมได้ศึกษานี้เป็นทั้ง "ผู้เล่นเกม" และเป็นทั้ง  "นักฉวยโอกาส" โดยไม่สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจิตใจได้  ผมทั้งเกิดความผิดหวังและแลเห็นถึงขีดจำกัดของวิชาเศรษฐศาสตร์ในเรื่อง "คน"  จนตัดสินใจทดลองงานเขียน "เศรษฐศาสตร์กำลังภายใน" ที่แหวกแนวออกมาอย่าง  "มวยจีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า" ในปี ค.ศ. 1990 และเป็นการประกาศจุดยืนแบบ  "มังกรบูรพา" ออกมาอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของตัวผม  ในคำลงท้ายของหนังสือเล่มนี้ ผมเขียนเอาไว้ตอนหนึ่งว่า
……..ท่านพุทธทาสภิกขุเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าเปลี่ยนจิตใจได้  ก็เปลี่ยนโลกได้ จิตที่เปลี่ยนย่อมเห็นโลกผิดไปจากที่เคยเห็น"  "การมีโภคทรัพย์มากน้อยไม่สำคัญ  สำคัญที่ว่าการครอบครองโภคทรัพย์นี้จะต้องเชื่อมโยงกับการบำเพ็ญธรรมด้วย"  และ "ไม่หนีโลกและก็ไม่หลงโลก  หากแต่จะอยู่ในโลกอย่างมีจิตสำนึกเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงโลกจากภายใน" อนึ่ง  ท่านพุทธทาสภิกขุยังมีความเห็นเกี่ยวกับศาสตร์ว่าด้วย "เศรษฐกิจ"  หรือวิชาเศรษฐศาสตร์ที่เป็นวิชาชีพของผมด้วยว่า  เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับการทำสิ่งที่ไม่มีค่าหรือสิ่งที่มีค่าน้อยให้มีค่ามากที่สุด  ถ้ากล่าวโดยนัยนี้  หนังสือเล่มนี้ของผู้เขียนก็น่าที่จะจัดเป็นหนังสือทางเศรษฐศาสตร์ประเภทหนึ่งได้เช่นกัน  (เศรษฐศาสตร์กำลังภายใน ?)………
ในตอนนั้น  ผมยังอาลัยกับความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับมันตั้งแต่วัยเรียนไม่ต่ำกว่า  15 ปีอยู่ โดยที่ตัวผมเองขณะนั้นก็ไม่คาดฝันว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงแค่ก้าวเล็ก  ๆ ก้าวแรกของผมในการเหยียบย่ำเข้าสู่องค์ความรู้ใหม่  พรมแดนแห่งภูมิปัญญาใหม่ทางด้านจิตวิญญาณ ความเชื่อ  และศาสตร์เร้นลับอย่างที่น้อยนักที่จะมีปัญญาชนคนสมัยใหม่ได้เคยสัมผัส
7  มุ่งสืบค้นวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณในประเทศไทย
แม้ว่าหลังจากนั้นตัวผมจะเขียนงานทางเศรษฐศาสตร์ออกมาอีกอาทิเช่น  "เศรษฐกิจฟองสบู่ : บทเรียนและทางรอด" "เศรษฐกิจไทยตายแล้วฟื้น"  (การอภิวัฒน์รีเอ็นจิเนียริ่ง)  แต่งานเหล่านี้สำหรับตัวผมไม่ต่างการออกมาร้องเพลงอีกให้กับผู้ฟังตามเสียงร่ำร้อง  "เอาอีก เอาอีก" ภายหลังจากที่ผู้ร้องจบคอนเสิร์ทของตัวเองลงแล้ว  งานหลักที่แท้จริงของตัวผมในช่วงระหว่าง ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน  (ปลายปี ค.ศ. 2001)  คือการหลอมรวมสรรพศาสตร์ในภูมิปัญญาตะวันออกให้เป็นระบบความคิดและระบบการฝึกฝนที่ชัดเจนและครอบคลุมต่างหาก
ภาระกิจในการหลอมรวมสรรพศาสตร์ในภูมิปัญญาตะวันออกที่ผมได้กระทำมานี้  สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 3 ช่วง ด้วยกัน คือ
ช่วงที่หนึ่ง (ค.ศ. 1990 - 1994)  เป็นช่วงที่เริ่มนำเสนอทางออกทางจิตวิญญาณต่อการสะสางปัญหาต่าง ๆ ในสังคมไทย  โดยผ่านงานเขียนอย่าง "มวยจีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า" "ความรักกับจอมยุทธ์"  "ปรัชญาอภิมนุษย์" "วิถีมังกร" "มองอย่างตะวันออก" "มูซาชิฉบับท่าพระจันทร์"  "เค็นอิจิโร่(ดาบแห่งความรัก)" "คัมภีร์มังกรวัชระ" "วิถีบูรพา"  "คัมภีร์มังกรตันตระ" "ฮาร์ท แอนด์ โซล" "ปัญญาอมตะ"
ช่วงที่สอง (ค.ศ. 1995 - 2000)  เป็นช่วงสืบค้นทางจิตวิญญาณที่เกี่ยวโยงกับคำทำนายเรื่องหายนะภัยในช่วงสิ้นศตวรรษที่  20 โดยผ่านงานเขียนชุดมังกรจักรวาล (7 เล่ม) และงานเขียนชุดมังกรบูรพา (ถึงเล่ม  3) ได้แก่ "สมาธิหมุน" "เทพอวตาร" "ครรลองโยคะ" "คุรุมังกร" "ริ้วรอยเทพยดา"  "บูรพาไม่แพ้" "นักรบแห่งแสงสว่าง" "ความเชื่อเร้นลับในสังคมไทย" "หัวใจมังกร" และ  "ระบำรบแห่งสันติ"  ช่วงที่สองนี้จบลงด้วยการเจ็บตัวอย่างหนักของผมที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีเปรตคำชะโนด  ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2000  ที่ทำให้ตัวผมยุติการสืบค้นทางจิตวิญญาณอย่างสิ้นเชิงหลังจากนั้นแล้วหันกลับเข้าสู่  "โลกภายใน" "การบำเพ็ญ" และ "ธรรมวิจัย" อย่างเต็มตัวอันเป็นช่วงที่สาม 
ช่วงที่สาม (กลางปี ค.ศ. 2000 - ปัจจุบัน)  จึงเป็นช่วงที่ตัวผมกำลังทุ่มเทให้กับการพยายามหลอมรวมภูมิปัญญาตะวันออกเข้ากับภูมิปัญญาตะวันตก  โดยได้รับแรงบันดาลใจจากงานเขียนแนวจิตวิทยาข้ามพ้นตัวตนและทฤษฏีสรรพสิ่ง  (Theory of everything) ของยอดนักคิดแห่งโลกตะวันตกยุคปัจจุบัน "เค็น วิลเบอร์"  (Ken Wilber เกิด ค.ศ. 1949) ตัวอย่างงานเขียนของผมที่ออกมาในช่วงนี้ได้แก่  "วัชรเซน" กับ "เทพพจนา" หาก
ช่วงที่หนึ่งของผมคือช่วงของ "มังกรไท้เก๊ก"  
และช่วงที่สองของผมคือช่วงของ "มังกรจักรวาล"  
ผมคงเรียกช่วงที่สามของผมนี้ว่า ช่วงของ "มังกรบูรณา"