การบูรณาการการเมืองสองหน้า (ตอนที่ 2)
จะว่าไปแล้ว ความล้าหลังของภาคชนบทไทย  ที่ดำรงอยู่อย่างยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็สืบเนื่องมาจาก  ตัวนโยบายของรัฐไทย นี้แหละ  ที่ทำให้ชาวนาไทยต้องจมปลักอยู่กับวิถีการผลิตที่ล้าหลัง  การพัฒนาที่ผลักดันโดยรัฐไทยที่ผ่านมา (รวมทั้ง รัฐบาลทักษิณ ที่ใช้  นโยบายประชานิยมอย่างสุดโต่งด้วย)  ยังมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบทได้น้อย  ส่วนใหญ่เป็นแค่การผลักดันให้ชาวนาชาวไร่ไทยเข้าสู่ เศรษฐกิจทุนนิยม  ด้วยแบบวิถีการผลิต และเทคโนโลยีที่ยังล้าสมัยอยู่เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น  ขณะที่รายได้จากภาคเกษตรต่ำ แต่ถนนหนทางที่เข้าสู่เมืองแสนจะสะดวก ประกอบกับ  ตลาดแรงงาน ทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างประเทศที่ขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ก็มีส่วน  "ดูด แรงงานของคนหนุ่มคนสาวในภาคชนบทจำนวนมากให้พากันอพยพเข้าสู่เมืองในรูปของ  แรงงานราคาถูก หรือไม่ ก็ผู้ขายบริการทางเพศ  ทำให้ชนบทถูกทอดทิ้งให้จมปลักอยู่กับความล้าหลังอย่างยากที่จะลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้  เพราะกลไกของรัฐก็ดี กลไกตลาดแรงงานของเศรษฐกิจทุนนิยมก็ดี  ล้วนแต่ทำงานในทิศทางที่ทำให้ชนบทยังคงล้าหลังอยู่ทั้งสิ้น
เพราะทิศทางการพัฒนาทุนนิยมของประเทศไทยในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้  ทำให้แม้แต่ ทุนไทย เองก็ยังเริ่ม "ข้ามชาติ"  ไปลงทุนที่จีนและเหล่าประเทศอินโดจีนมากกว่าที่จะเลือกมาลงทุนในชนบทไทย  จึงเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่ทิศทางของ "แรงงาน" เท่านั้นที่ทอดทิ้งชนบท แม้แต่ทิศทางของ  "ทุน เองก็ยังไม่มุ่งสู่ชนบทไทยเท่าไหร่นัก จริงอยู่การมุ่งส่งเสริม  สินค้าโอทอปของรัฐบาลทักษิณ เป็นความพยายามในการสวนกระแสทิศทางการไหลของ "ทุน"  ได้บ้างในระดับหนึ่ง  แต่มันไม่มากพอที่จะเปลี่ยนทิศทางการไหลของทุนนี้ได้หรอก
ขณะที่  อิทธิพลของข่าวสารจากโทรทัศน์และวิทยุ  ในยุคสังคมข่าวสารกลับไปกระตุ้นลัทธิบริโภคนิยมในหมู่คนชนบทไทย ทำให้พวกเขากลายเป็น  "ผู้บริโภค" เต็มตัวมากยิ่งขึ้น และมีความต้องการใช้ "เงิน"  มากขึ้นกว่าในอดีตที่ยังพอมีลักษณะเศรษฐกิจยังชีพ กึ่งเลี้ยงตัวเองได้ดำรงอยู่บ้าง  สิ่งนี้จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาละทิ้งชนบทและท้องถิ่นของตัวเองมากขึ้นจนถึงขั้น  "ลอดรัฐ" ไปทำงานที่ไหนก็ได้ที่ให้ค่าจ้างสูงสุด  โดยไม่จำกัดตัวเองว่าจะต้องทำงานในประเทศตัวเองเท่านั้น
นอกจากนี้  อิทธิพลและการก่อตัวของ "เศรษฐกิจฟองสบู่" ที่เริ่มต้นตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน  สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ก็ได้  ทำให้ที่ดินเพื่อการเกษตรถูกเปลี่ยนไปเป็นโรงงาน สนามกอล์ฟ และรีสอร์ต  จนที่ดินมีราคาสูงขึ้นมาก และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว  ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ  แรงจูงใจที่ชาวนาชาวไร่จะยึดอาชีพเกษตรกรรมต่อไปจะน้อยลงทุกๆ ที  เพราะไม่คุ้มกับมูลค่าที่ดิน
ครั้นหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ "ฟองสบู่แตก"  วิถีการผลิตที่ล้าหลังของชนบทผนวกกับความต้องการเงินที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน  ผลักดันให้ชาวนาชาวไร่ต้องหารายได้เพิ่มทางลัด  โดยการเข้าไปผูกพันกับเศรษฐกิจใต้ดินหรือเศรษฐกิจนอกระบบมากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะธุรกิจค้า "ยาบ้า" ซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในช่วงหลังฟองสบู่แตก  จนรัฐบาลทักษิณต้องประกาศสงครามต้านยาเสพติดมีการฆ่าตัดตอน  ผู้ค้ายาบ้าจำนวนหลายพันคน แต่ก็ยังไม่สามารถปราบปรามได้อย่างถอนรากถอนโคน  แต่ก็มีผลทำให้ชาวนาชาวไร่ส่วนใหญ่หันไปคลั่ง "หวยบนดิน"  แทนได้
นโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมผสมธนาธิปไตยของทักษิโณมิกส์  ของพรรคไทยรักไทยเกิดขึ้นภายใต้บริบททางเศรษฐกิจดังข้างต้นนี้ที่มีความล้าหลังของภาคชนบทขนาดใหญ่เป็นตัวกำหนด  การเมืองสองหน้า อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ พ.ต.ท.ทักษิณเองเมื่อคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรี  เขาก็ต้อง "ทิ้ง" พรรคพลังธรรม ซึ่งอุดมคตินิยมเกินไปจนไม่ติดดิน  แล้วหันไปสร้างพรรคไทยรักไทยของตัวเองที่ยอม "ดูด" ส.ส.ทุกประเภทเข้ามาในพรรคของตน  ขอให้ได้เป็นพรรคเสียงข้างมากเท่านั้น แต่พรรคไทยรักไทยของ  พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นสัจนิยมจนเกินไปจนขาดอุดมคติในเรื่องประชาธิปไตยที่ประชาชนปกครองตนเอง  และเรื่องการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชนทางการเมือง
เพราะฉะนั้น  แม้พรรคไทยรักไทยจะได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากอย่างท่วมท้นในต้นปี พ.ศ. 2544  ด้วยนโยบายประชานิยมที่ขาย "ความหวัง" ให้แก่ภาคชนบทไทยที่ล้าหลังขนาดใหญ่  แต่ด้วยความบกพร่องของนโยบายเชิงประชานิยมแบบนี้กลับจะทำให้ครัวเรือนในภาคชนบทไทยเป็นหนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก  เพราะนโยบายประชานิยมไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นั่นคือ  การยกระดับการศึกษาและระดับจิตสำนึกของผู้คนในชนบทให้สูงขึ้น  จนกระทั่งสามารถหลุดออกมาจากพันธนาการของระบบอุปถัมภ์ได้ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า  รัฐบาลพรรคไทยรักไทยกำลังสร้างระบบอุปถัมภ์แบบใหม่  ภายใต้ระบอบทักษิณเข้ามาครอบงำคนชนบทแทนระบบอุปถัมภ์เดิม  และแทนที่รัฐบาลทักษิณจะตระหนักถึงความผิดพลาดของแนวทางที่ตนกำลังดำเนินอยู่  ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยเหล่าปัญญาชน นักวิชาการมาโดยตลอด  แต่ด้วยความกลัวว่าตนเองจะไม่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย  รัฐบาลทักษิณจึงกลับยิ่งโหมกระหน่ำ นโยบายประชานิยมสุดขั้วรอบสอง  ออกมาตั้งแต่วันเปิดตัว "คิกออฟแคมเปญ" ในคืนวันที่ 17 ตุลาคม 2547  เพื่อหวังฉุดคะแนนนิยม "ขาลง" ให้กลับคืนมาเป็น "ขาขึ้น" เหมือนเดิมอีกครั้ง  โดยหารู้ไม่ว่า นโยบายประชานิยมสุดขั้วรอบสองนี้  ถ้ารัฐบาลพรรคไทยรักไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ในการเลือกตั้งต้นปี พ.ศ. 2548  แล้วนำไปปฏิบัติจริง  จะชักนำหายนะทางเศรษฐกิจมาสู่ประเทศนี้อย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว
รัฐบาลที่ดี  จะต้องไม่ใช่รัฐบาลที่มุ่งแต่คอยเอาใจผู้คนเพื่อหวังคะแนนเสียงไม่ให้กลายเป็น  "ขาลง" เหมือนอย่างที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยกำลังกระทำอยู่ แต่  รัฐบาลที่ดีจะต้องสามารถชักชวน  และชี้นำประชาชนให้เดินไปในทิศทางที่ถูกที่ควรด้วย
บทบาทของ รัฐบาลที่ดี  ที่สามารถบูรณาการการเมืองสองหน้าได้  จะต้องเป็นรัฐบาลที่หันมาทุ่มเทให้กับภาคเกษตรกรรมอย่างจริงจัง  มิใช่อย่างฉาบฉวยแบบประชานิยม โดยไม่ยอมแตะปัญหาโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม  โดยจะต้องเน้นการสร้างงานในชนบทให้มากขึ้น  สร้างรายได้ของคนในชนบทให้สูงขึ้นอย่างมั่นคงถาวร  รวมทั้งสร้างงานที่จะทำให้เกิดความมั่นคงในอนาคต และเกิดความภูมิใจในตนเอง  และท้องถิ่นของตนเองจนเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ทั้งในระดับปัจเจกและระดับชุมชนได้  กล่าวคือ เราจะต้องมุ่งสร้างคนในชนบท (ระดับจิตมีมสีแดง และสีน้ำเงิน)  ให้กลายเป็นคนชั้นกลาง (ระดับจิตมีมสีส้ม) ในภาคเกษตร  คิดอะไรใกล้เคียงกับคนชั้นกลางใฝ่ฝันอะไรที่คนชั้นกลางใฝ่ฝัน  ไม่ใช่แค่เลียนแบบการบริโภค และวิถีชีวิตของคนชั้นกลางเท่านั้น  แต่จะต้องมีจิตสำนึกทางการเมืองที่ตื่นตัวและ "รู้ทัน" นักการเมือง  รวมทั้งมีจิตสำนึกที่รักและหวงแหนประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่งด้วย  พวกเขาจะต้องมองให้ทะลุว่า สุดท้ายแล้ว เศรษฐกิจกับการเมือง  ก็เป็นสิ่งที่แยกขาดจากกันเป็นส่วนๆ ที่อยู่อย่างเอกเทศไม่ได้  และจะละเลยมิติทางวัฒนธรรม และมิติทางจิตใจในการพัฒนาอย่างบูรณาการ  ก็ไม่ได้เช่นกันด้วย
จะเห็นได้ว่า แนวทางการปฏิรูปเชิงบูรณาการ ซึ่งเป็น  ทางเลือกที่สาม ที่จะต้องดำเนินการใน ยุคหลังทักษิณ นั้น  การปฏิรูปเศรษฐกิจจะต้องเป็นไปเพื่อการเมือง (การพัฒนาประชาธิปไตย)  และการปฏิรูปการเมืองก็จะต้องเป็นไปเพื่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้  การปฏิรูปเศรษฐกิจยังจะต้องเป็นไป เพื่อยกระดับวัฒนธรรมและจิตใจของผู้คน  และการปฏิรูปวัฒนธรรมและจิตใจของผู้คนก็จะต้องเป็นไปเพื่อเศรษฐกิจ เพื่อการเมือง  เพื่อสังคมด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้น นักการเมือง  และพรรคการเมืองในยุคต่อไปข้างหน้า  จึงไม่ควรเป็นแค่เครื่องจักรในการหาเสียงเลือกตั้งอีกต่อไป แต่ควรจะเป็นและ  ต้องเป็นเครื่องจักรในการนำเสนอนโยบาย  และแนวทางที่สามารถอธิบายให้คนทั้งประเทศเข้าใจได้ว่า  ถ้าดำเนินตามนโยบายเหล่านี้แล้ว จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน และจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่พวกเราพึงประสงค์หรือไม่  ในทุกๆ ด้านไม่ว่าด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ค่านิยม และความเชื่อ