การสร้างวัฒนธรรมใหม่แห่งสันติวิธี
"อย่าตัดสินศาสนาอิสลามด้วยชาวมุสลิม
และอย่าตัดสินชาวมุสลิมด้วยศาสนาอิสลาม"
(เมาลานา วาฮิดูดิน ข่าน นักคิดมุสลิมลัทธิซูฟี)
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงลึก ที่แท้จริงนั้นจะเกิดขึ้นมาได้ เมื่อคนเราค้นหาและค้นพบ สันติภาพ (ศานติ) เมื่อคนเรามีสันติภาพภายในจิตใจได้ คนเราก็จะพบความสุขและความตระหนักรู้ได้เอง
แรกทีเดียว คนเราต้องสร้าง สันติภาพกับตนเอง ให้ได้เสียก่อนด้วย การปรองดองกับจักรวาฬ (Kosmos) ถ้าคนเราไม่มีสันติภาพภายใน คนเราจะไม่มีทางสร้างสันติภาพภายนอกได้เลย
หากคนเรามีสันติภาพในจิตใจแล้ว คนเราจะไม่กลัว "ศัตรู" ใดเลย แต่ถ้าหากคนเรายังไม่อาจเอาชนะความกลัวภายในจิตใจนี้ได้แล้วก็จะเป็นการง่ายมากที่พวกเราจะถูกรัฐบาล และผู้นำทางทหารสายเหยี่ยว สายขวาจัด "จูงจมูก" ให้หวาดกลัว "ผู้ก่อการร้าย" ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การแตกแยกทางสังคม มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นกลุ่มต่างๆ ที่ขัดแย้งกันด้วยแนวคิด ความเห็น ความเชื่อ ใน การแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกที เพราะรัฐบาลยังใช้แนวทางแบบอำนาจนิยมในการแก้ไขปัญหาอยู่ และขาด วัฒนธรรมแห่งสันติวิธี ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
เป็นที่เห็นได้ชัดเลยว่า ผู้นำแห่งระบอบทักษิณยังไม่สามารถเชื่อมโยงสันติภาพทางจิตใจของตัวเขากับสันติภาพทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ได้ ทั้งๆ ที่ทั้งสองลักษณะของสันติภาพนี้ (สันติภาพภายในกับสันติภาพภายนอก) ไม่อาจแยกจากกันได้
เพราะฉะนั้น เมื่อคนเรามีสันติภาพในตนเองได้แล้ว จึงต้องสร้างสันติภาพต่อโลกให้ปรากฏเป็นจริง ให้เป็นที่ประจักษ์ แต่แม้จะทำได้ถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่เพียงพอ ต่อให้เรามีสันติภาพในโลกในสังคมแล้ว เราก็ยังต้องมุ่งสร้างสันติภาพกับธรรมชาติ กับเอกภาพ กับจักรวาฬ กับสรรพสิ่งต่อไปอีก
ถ้ามองแบบบูรณาการแล้ว เราจะไม่แยกสันติภาพส่วนตัวออกจากสันติภาพโลก หรือแยกสันติภาพโลกออกจากสันติภาพจักรวาฬ สันติภาพทั้งสามอย่างนี้ต้องดำเนินไปด้วยกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สันติภาพแบบเดียวไม่อาจเป็นไปได้หากปราศจากสันติภาพแบบอื่น ทั้งสามมิติแห่งสันติภาพของปัจเจก การเมืองและจักรวาฬนี้ต่างเป็นของกันและกัน
สันติวิธีจะต้องไม่ใช่สิ่งพิเศษที่ปฏิบัติได้เฉพาะบุคคลที่เป็นอริยะเท่านั้น แต่ เราจะต้องนำสันติวิธี และความจริงของจักรวาฬสู่การเมือง สู่สังคม สู่องค์กร สู่สถาบัน และสู่ครอบครัวของเรา เราจะต้องทำให้สันติวิธีกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเรา เพราะสันติวิธีคือเนื้อนาดินที่จะทำให้ความรัก ความกรุณา ความเมตตาเติบโต เมื่อคนเราปฏิบัติสันติวิธี สัจธรรมจะมาหาเราเองโดยที่เราไม่ต้องไปดิ้นรนควานหาสัจธรรมที่ไหนเลย
สันติวิธี เป็นเรื่องของ สภาวะจิตใจ และ วิถีชีวิต อำนาจนิยมหรือการนิยมความรุนแรงในการแก้ปัญหา ก็เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจและวิถีชีวิตด้วยเช่นกัน ถ้าหากคนเรามีทางเลือกแค่สองอย่างระหว่างการใช้ความรุนแรงที่เหมาะสม กับการใช้ความรุนแรงที่ไม่เหมาะสมเท่านั้นแล้ว ก็อย่าหวังเลยว่า สังคมเราจะสามารถบูรณาการปัญหาต่างๆ แบบสันติวิธีได้
เราจำเป็นจะต้องเร่งส่งเสริม วัฒนธรรมใหม่แห่งสันติวิธี ก่อนที่ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะบานปลายลุกลามใหญ่มากไปกว่านี้ การจะทำเช่นนั้นได้ ผู้นำประเทศจะต้องตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของชีวิตที่มีค่ายิ่ง ที่ข้ามพ้นความต่างในเรื่องเพศ ชาติพันธุ์ ความเชื่อ และสถานะทางสังคมทั้งปวง เขาจะต้องสามารถเยียวยาความแตกแยกระหว่างโลกทัศน์แบบเหตุผลนิยม (วิทยาศาสตร์นิยม) กับโลกทัศน์เชิงจิตวิญญาณให้จงได้ เพราะลึกๆ แล้วปัญหาสันติวิธีกับการใช้ความรุนแรงในการก่อการร้ายสากลแยกไม่ออกจากปัญหาความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างสุดขั้วระหว่างโลกทัศน์แบบ "ทุนนิยม" (วัตถุนิยม) กับโลกทัศน์แบบ "จารีตนิยม" (fundamentalism) ซึ่ง "สุดโต่ง" ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
สันติภาพที่แท้จริง จะไม่ใช่แค่ปราศจากภาวะสงครามเท่านั้น แต่จะต้องหมายถึงการมีอยู่ของความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกันในสังคมด้วย เราต้องไม่ลืมว่า สันติวิธีเป็นพลังทางจริยธรรมชนิดหนึ่ง พลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงบุคคลและสังคม และนำมาซึ่งสันติภาพได้ สันติวิธีจึงไม่อาจเป็นเครื่องมือ อุบายทางการเมือง หรือเทคนิคทางการตลาดได้ มันเป็นได้แต่ วิถีของผู้นำที่แท้จริง เท่านั้น
สันติวิธีไม่มีทางกระทำได้ด้วยการเหยียดหยาม หรือทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึก "พ่ายแพ้" สันติวิธีจะบรรลุได้ก็ด้วยมิตรภาพ ความเข้าใจ ที่นำไปสู่ความปรองดองอย่างไม่มีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะเท่านั้น
แนวทางสันติวิธีจึงไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแออย่างที่มักถูกเข้าใจผิดกัน เพราะมองอย่างผิวเผินตื้นเขิน เพราะความรุนแรงที่ก่อให้เกิดความรุนแรงโต้ตอบกลับไปกลับมาราวกับเป็นการจองเวรกันอย่างไม่มีวันจบสิ้นนั้น มันไม่มีทางแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริงหรอก จะมีก็แต่ผู้นำที่แท้จริงที่ทั้งกล้าหาญ และเข้มแข็งเท่านั้นถึงจะสามารถ "ตัด" ห่วงโซ่แห่งการจองเวร ความเกลียดชังนี้ให้ขาดอย่างสิ้นเชิงได้ด้วยปฏิบัติการแห่งสันติวิธีที่เป็น "ปฏิบัติการการุณย์รัก" (moved by love)
แม้จนทุกวันนี้ ชาวไทยพุทธจำนวนมากก็ยังขาดความเข้าใจต่อหัวใจคำสอนของศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็น ศาสนาแห่งสันติภาพ แก่นแท้ของอิสลามไม่ใช่เรื่องของทฤษฎีหรือปรัชญา แต่เป็นเรื่องของการมีชีวิตโดยไม่โกรธตลอดเวลา เพื่อที่จะสามารถรับใช้พระเจ้าและผู้คนแล้วได้ความสงบในจิตใจ ความหมายที่แท้จริงของอิสลามคือสันติภาพ ญิฮาด ในความหมายที่แท้จริงคือ การดิ้นรนต่อสู้กับอัตตาของตนเอง และเอาชนะความโกรธความทร ะนงตนของตนเองต่อให้ไปดิ้นรนต่อต้านความอยุติธรรม ก็ต้องต่อต้านโดยสันติวิธี ไม่มีที่สำหรับความรุนแรง ไม่ว่าแบบใดในศาสนาอิสลาม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ความจริงแห่งแก่นแท้ของศาสนาอิสลามเช่นข้างต้นนี้ ก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจแม้ในหมู่ชาวมุสลิมเองเช่นกัน
ในมุมมองของภูมิปัญญาบูรณาการ นิกายซูฟี (Sufi) ของมุสลิม ซึ่งเป็นรหัสนัยลัทธิ (mysticism) ของอิสลาม เป็นแนวทางที่สามารถนำชาวอิสลามให้สามารถเข้าถึงคำสอนสูงสุดที่แท้จริงของอิสลามได้ พวกซูฟีจะทำนุบำรุงจิตวิญญาณของพวกเขาผ่านบทกวีและบทเพลง ที่เกิดจากการอุทิศตนอย่างเร่าร้อนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ดำรงอยู่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ในทุกหนแห่งและตลอดไป พวกซูฟีหลงรักพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาค้นหาพระเจ้าผู้เป็นที่รักของพวกเขาในทุกขณะจิตของชีวิต พวกเขาดื่มด่ำ เคลิบเคลิ้มไปกับความรักของพระเจ้า และความปีติยินดีที่พวกเขาได้รักพระเจ้า สำหรับพวกเขาแล้วพระเจ้าปรากฏอยู่ในทุกที่ ในสายลม สายน้ำ ขุนเขา ดอกไม้ ดวงดาว ก้อนเมฆ ต้นไม้และสรรพสัตว์ ไม่มีสิ่งไหนเลย ที่พวกเขาไม่แลเห็นการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า อาจารย์นิกายซูฟีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นกวีลือนามคือ "รูมี่" (Rumi)
ผู้ใดก็ตาม ไม่ว่าชาวอิสลาม ชาวพุทธ ชาวฮินดู หรือชาวคริสต์ เมื่อพัฒนาจิตใจของตนจนสามารถยกระดับจิตสู่ขั้น "รหัสนัยนิยม" (mystic) ได้แล้วก็จะสามารถค้นพบความจริงของจักรวาฬที่เหมือนๆ กันทั้งสิ้น ต่างกันที่ชื่อเรียกเท่านั้น บางที สันติวิธีที่แท้จริงจะบังเกิดขึ้นได้คงในระดับจิตตั้งแต่ "พหุนิยม" ขึ้นไปเท่านั้น