จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง (2)
2.  ความหลงผิดของวิถีทักษิณ
วิชาวาทศิลป์ เป็นเหมือน มายาศาสตร์ หรือ  ไสยศาสตร์ยุคใหม่ แขนงหนึ่ง  เพราะมันเป็นวิชาที่สอนให้นักการเมืองสามารถพูดจูงใจผู้คนให้คล้อยตามความคิดเห็นของตน  และสามารถถกเถียงเอาชนะคู่ปรปักษ์ได้ด้วยเหตุนี้  วิชาวาทศิลป์จึงเป็นอาวุธที่ทรงพลังสำหรับนักการเมืองคนไหนก็ตามที่ต้องการได้อำนาจด้วยการปลุกระดมหาเสียง  หาความนิยมจากฝูงชน 
แต่ ความเชี่ยวชาญในการใช้วาทศิลป์ของ "ผู้นำ" นั้น  มันเป็นเสมือนดาบสองคม หากใช้ในทางที่ผิด  โดยเฉพาะใช้พลังของวาทศิลป์นั้นโดยไม่คำนึงถึงความจริง ความดี และความงาม เช่น  ทำให้สิ่งที่เลวร้ายดูเป็นสิ่งดี และทำให้ความเท็จดูเป็นสัจจะ เมื่อนั้น "ผู้นำ"  คนนั้นก็สามารถ "กลายพันธุ์" กลายเป็น "เดมาก็อก" (Demagogue)  หรือผู้นำฝูงชนที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้าคนที่ปลุกระดมหาเสียง  หาความนิยมจากประชาชนโดยการปลุกเร้า  หลอกลวงไปได้ง่ายๆ
คงเป็นการยากที่จะปฏิเสธว่า  ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญมากในการทำให้ "ผู้นำ"  คนนี้ขึ้นมาเถลิงอำนาจได้ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนคือ วาทศิลป์ของเขา  ยิ่งกว่าเงินของเขาเสียอีก และก็คงเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธอีกเช่นกันว่า  ปัจจัยแห่งความเสื่อมในปัจจุบันของ "ผู้นำ"  คนนี้ก็มาจากการสิ้นมนต์ขลังในวาทศิลป์ของเขาที่ไม่สามารถโน้มน้าวจูงใจผู้คนให้เชื่อถือในตัวเขา  หรือฝากความหวังในตัวเขาได้อีกต่อไป จนทำให้สถานภาพของเขาตกต่ำลงจาก  "ว่าที่รัฐบุรุษ" กลายเป็น "คนลวงโลก" (อีกชื่อเรียกหนึ่งของ "เดมาก็อก")  อย่างรวดเร็ว จนน่าใจหาย ทั้งๆ  ที่เพิ่งได้รับเลือกจากฝูงชนมาเป็นผู้นำประเทศสมัยที่สองอย่างถล่มทลายได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น
ความเสื่อมของเขา  มิได้มีสาเหตุมาจาก "ขาประจำ" หรือฝ่ายตรงข้ามคนไหนหรอก แต่มาจากตัวเขาเอง  โดยเฉพาะมาจากความหลงผิด และขาดปัญญาที่แท้จริงในเรื่อง ความดี ของตัวเขานั่นเอง  หรืออาจกล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า แม้ตัวเขาจะประสบความสำเร็จทางวัตถุ  ทางปัจจัยภายนอกอย่างยิ่งใหญ่มากแค่ไหนก็ตาม แต่ในทาง ปัจจัยภายใน ของเขา  โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับความดีและความจริงนั้น  ตัวเขาได้ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า  อย่างไม่สมควรเป็นแบบอย่างของอนุชนคนรุ่นหลังด้วยซ้ำ
เพราะแม้จนบัดนี้  ตัวเขาคงยังมิได้ตระหนักด้วยซ้ำว่า วิชาวาทศิลป์ของเขานั้น  กำลังส่งผลร้ายต่อตัวเขาเองและต่อฝูงชนผู้ฟังเขา เพราะ  ยิ่งเขาใช้วาทศิลป์ของขาชักจูงผู้คนให้คล้อยตามความคิดความเห็นของเขา  โดยเฉพาะวิถีของเขามากเท่าใด ฝูงชนผู้ฟังก็จะทึกทักเอาเองว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นจริง  และเชื่อว่า ชีวิตของพวกเขาในทุกๆ ด้าน  จะดีขึ้นจริงถ้าเดินตามเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ในขณะเดียวกัน  ความนิยมเลื่อมใสของฝูงชนที่มีต่อตัวเขา ก็ทำให้ตัวเขาหลงผิดคิดว่าตัวเองรู้จริง  โดยไม่ได้สำเหนียกว่าจริงๆ  แล้วตัวเองไม่รู้ในเรื่องที่ตัวเองอวดอ้างว่ารู้ความหลงผิด  หลงตัวเองเช่นนี้แหละที่ได้ทำลายโอกาสในความก้าวหน้า  ความเติบโตทางปัญญาญาณและทางจิตวิญญาณของตัวเขาไปอย่างน่าเสียดาย
ความหลงผิดของเขายังลุกลามไปถึงการทำให้สังคมสับสนระหว่าง  "ความเห็น" (ความเชื่อ) ของเขากับตัว "ความรู้"  เพราะเขากำลังใช้อำนาจของเขาไปกดบีบสังคมให้ยอมรับว่า "ความเห็น"  ของเขาเป็นสิ่งเดียวกับ "ความรู้" ซึ่งมันไม่ใช่!
เพราะ "ความรู้"  จะต้องเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมสิ่งนั้นถึงเป็นความจริง  ซึ่งต้องผ่านการพินิจพิจารณาการใช้เหตุผล การวิพากษ์วิจารณ์  และการถกเถียงอย่างรอบด้านกว่าจะได้ข้อสรุป ขณะที่ ความเห็น"  เป็นแค่สิ่งที่คนเราอาจยอมรับได้  โดยที่คนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาของตัวเองเลย  เหมือนกับที่คนไทยส่วนใหญ่ได้รับเอา "ความเห็น" ของทักษิณมาเป็น "ความเชื่อ"  ของตนอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์  อย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองหลงเชื่อไปนั้นเป็นความจริงหรือไม่  โดยเฉพาะคำมั่นสัญญาจากลมปากของเขา เพราะจะมากหรือน้อย  ปัญหาความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้  ก็มาจากการหลงเชื่อของสังคมในลมปาก และ "ความเห็น" ของเขาก่อนหน้านั้นนั่นเอง  แล้วอย่างนี้จะโทษใครเล่า ครั้นจะโทษทักษิณฝ่ายเดียวก็เห็นจะไม่เป็นธรรมนัก  คงต้องตำหนิฝูงชนที่หลงคารมเขาเองด้วยถึงจะถูก
แต่ที่เห็นชัดแน่ๆ ก็คือ  ภายใต้การนำของเขาคนนี้สังคมเราคงไม่สามารถรุดหน้าไปสู่ สังคมความรู้ ได้  ทั้งนี้ก็เพราะว่า "ความรู้" มิใช่สิ่งที่จะหยิบยื่นให้แก่กันได้  และก็ไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ โดยปราศจากการใคร่ครวญ วิพากษ์วิจารณ์  แต่มันจะต้องเกิดจากการใช้ปัญญา พินิจพิจารณาไตร่ตรองของตัวผู้ศึกษาเอง  มาจากความพากเพียรพยายามของตัวผู้ศึกษาเองในการที่จะ "ผลิต"  ความคิดของตนเองออกมาด้วยการใช้ความคิดของตนเอง โดยที่ ผู้นำที่แท้  จะต้องส่งเสริมกระตุ้นสังคมให้มีส่วนร่วมในการ "คิดเอง" และ "คิดเป็น"  มิใช่การยัดเยียด "ความเห็น" ของตนทดแทน "ความรู้"  เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
การขาด "ความจริงใจต่อตนเอง"  คือปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งของผู้นำคนนี้  เพราะหลายสิ่งที่เขาได้กระทำมันหมิ่นเหม่เหลือเกินกับการหลอกลวงตัวเอง  เพราะคนเราหากเป็นคนที่พูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง  ก็ไม่มีเรื่องเลวร้ายใดที่เขาจะทำไม่ได้อีกต่อไป ทั้งๆ ที่ ในทางปรัชญานั้น  ชีวิตที่ครองอำนาจได้และอยู่รอดได้โดยขาดความจริงใจต่อตัวเองเป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่าความหมายอะไร
เพราะปรัชญาเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากเรื่อง  "ความดี" และ คนดีคือ คนที่ไม่ยอมทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ถูกต้อง  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ในทางปรัชญา คนดีควรยอมตายเพื่อความดี  เพื่อให้ความดีนั้นมีอยู่ดำรงอยู่ และค้ำจุนโลกนี้  จักรวาฬนี้ต่อไป
ความดีนั้น ย่อมมีผลตอบแทนของมันเองเสมอ เพราะ ชีวิตที่ดี  เท่านั้นเป็นชีวิตที่มีคุณค่าสมควรแก่การเกิดมาเป็นมนุษย์ และ  ตัวเราต้องเป็นอุดมคติแห่งความดีที่แสดงออกให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในทุกลมหายใจเข้าออกของตัวเรา  สิ่งนี้แหละคือคุณค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว  โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการยอมรับเลื่อมใสจากฝูงชนหรือผู้คนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะ  คนดีต้องไม่พึ่งผู้ใดในเรื่องความดี  แม้คนดีจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ด้อยกว่าตนเอง ทั้งในด้านสติปัญญา คุณธรรม  และระดับจิตใจก็ตาม
คนที่หลงใหลในอำนาจและเงินทองอย่างเขาต่อให้เฉลียวฉลาดเพียงใด  ก็ต้องถือว่า เป็นชีวิตที่ใช้ผิด และไม่ใช่ชีวิตที่ดีในเชิงปรัชญา  เพราะการมีอำนาจมิใช่เป้าหมายในตัวของมันเอง เนื่องจาก  อำนาจเป็นแค่เครื่องมือที่นำไปสู่สิ่งอื่นที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริง  ซึ่งในทางปรัชญาแล้ว สิ่งนั้นคือ การบรรลุความสมบูรณ์แบบ  ความประเสริฐสุดของการเป็นมนุษย์  โดยใช้ปัญญานำชีวิตอย่างเป็นองค์รวมหรืออย่างบูรณาการ นั่นเอง  โดยที่ปัญญาแบบนี้ต้องเป็นปัญญาที่สูงกว่าปัญญาที่ใช้ในการหาความมั่งคั่งหรือเข้าสู่อำนาจ  คือต้องเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ที่สามารถตรวจสอบชีวิตหรือวิถีของตนได้อย่างรอบด้าน  ในทุกมิติอย่างไม่บกพร่อง
เพราะเงินทอง อำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง  มิได้เป็นเป้าหมายแท้จริงของชีวิตในทางปรัชญา แต่เป็นแค่ สัญลักษณ์ของเป้าหมาย  ซึ่งเป็นตัวความสำเร็จหรือการบรรลุต่างหาก  โดยที่มันจะต้องเป็นการบรรลุในคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เป็นตัวตนของผู้นั้นอย่างแท้จริงด้วย  เพราะฉะนั้น การรู้ว่าอะไรดี  และการทำดีจึงเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้
เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนักสำหรับประเทศนี้ที่  "ผู้นำ" ของเขากลับสับสนและหลงผิดในเรื่องความดี  และการทำดีอย่างร้ายแรงในระดับคุณธรรม และจิตวิญญาณ  โดยที่ผู้คนในสังคมนี้จำนวนไม่น้อยก็กำลังสับสน และหลงผิดตามไปด้วยเช่นกัน  เพราะหลงเชื่อในวาทศิลป์ของเขา ความเห็นของเขา และวิถีของเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา