1. บทนำ

1. บทนำ

บทนำ
 

เรื่องราวที่ผมจะนำมาถ่ายทอดต่อไปนี้
คือเสี้ยวหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่งผู้ที่มีชื่อว่า สันติชาติ อโศกาลัย อันเป็นตัวละครเอกในงานเขียนของผมเรื่อง ความรักกับจอมยุทธ์ (..2535) ตัวละครที่ผมจินตนาการสร้างขึ้นมาตัวนี้มีลักษณะเด่น อยู่บางประการคือ


1. ผมตั้งชื่อเขาว่า สันติชาติแต่ชีวิตในวัยหนุ่มของเขาไม่เคยพบกับสันติสุขที่แท้จริงความทุกข์โศกในชีวิตของเขาล้วนโยงใยอยู่กับการพลัดพรากสูญเสียผู้คนอันเป็นที่รักยิ่งของเขาเริ่มตั้งแต่การจากไปของบิดาเมื่อครั้งวัยเยาว์การเสียชีวิตของพี่ชายในเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม..2519 (..1976) ตลอดจนพลัดพรากหรือสูญเสียหญิงสาวทุกคนที่เขาได้ใกล้ชิดผูกพันด้วย


เพราะฉะนั้นแม้นามสกุลของสันติชาติจะเป็น  อโศกาลัยที่แปลว่าไม่มีความโศกาไม่มีความอาลัยแต่แท้จริงชีวิตในวัยหนุ่มของเขาล้วนเต็มไปด้วยความโศกาและความอาลัยทั้งสิ้น


2. เมื่อคนเราต้องพลัดพรากจากคนที่ตนรักครั้งแล้วครั้งเล่าจิตวิญญาณของเขาก็ย่อมเสมือนถูกฉีกให้ย่อยยับเป็นส่วนเสี้ยวหาความสงบอันใดมิได้เพราะฉะนั้นเขาจึงมีแรงจูงใจมากกว่าคนธรรมดาสามัญในการเยียวยาสมานบาดแผลในหัวใจที่ร้าวรานด้วยการไต่ถามถึงแก่นแท้ของชีวิต


ความจริงผมคิดว่าคนเราทุกคนล้วนมีลักษณะคล้ายคลึงกับสันติชาติ อโศกาลัยของผมทั้งสิ้นตรงที่ต่างก็ล้วนมีบาดแผลในหัวใจกันคนละไม่มากก็น้อยเพียงแต่สันติชาติคนนี้อาจจะจริงจังในการแสวงหาถึงแก่นแท้แห่งคำตอบของชีวิตมากกว่าคนอื่นเท่านั้น


3. “สันติชาติของผมไม่ใช่คนรวยไม่ใช่คนที่ชื่อเสียงโด่งดังไม่ใช่คนที่มีอำนาจวาสนาและไม่ใช่คนที่หล่อเหลาจนสะดุจตาผู้คนหรือเพศตรงข้ามพูดง่ายๆก็คือถ้าหากดูแค่รูปโฉมภายนอกและของนอกกายแล้วเขาเหมือนเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยไม่ว่าจะมองจากสายตาของสังคมหรือสายตาของสตรีเพศ


สิ่งที่เขามีคือใจดวงนี้ของเขาเท่านั้น


เพราะสำหรับตัวเขาแล้ว ชีวิตมิใช่สิ่งใดอื่นแต่คือความสืบเนื่องของใจเท่านั้น ในท่ามกลางแห่งการเผชิญชีวิตอันเป็นทะเลแห่งทุกข์เขาได้พบว่าชีวิตหาใช่ปัญหาที่ต้องแก้ไม่แต่ชีวิตคือประสบการณ์ที่มีพลังสร้างสรรค์สมบูรณ์อันไม่มีที่สิ้นสุดต่างหาก


4. แม้สันติชาติจะไม่มีทรัพย์สินภายนอกชื่อเสียงอำนาจติดกายเลยก็จริงแต่เขาก็หาใช่อาภัพไปเสียทุกเรื่องเพราะอย่างน้อยเขาเป็นคนเรียนเก่งแต่ไม่ใช่เก่งในการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง แต่เป็นความเก่งในการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ที่เขาคิดว่าจะมาช่วยเพิ่มพูนใจดวงนี้ ของเขาให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด


อนึ่งความเก่งในการเรียนรู้อันนี้ของ สันติชาติ มิได้มีมาตั้งแต่เกิดหรือเป็นพรสวรรค์ที่เฉพาะตัวของเขาแต่เป็นสิ่งที่มาจากบุคลิกภาพนิสัยใจคอของเขาที่ด้านหนึ่งเป็นคนประณีตละเอียดอ่อนแต่ในอีกด้านหนึ่งหนักแน่นเคร่งครัดเอาจริงเอาจังบุคลิกภาพเช่นนี้เองที่ผมวาดภาพบรรยายให้สันติชาติสามารถค้นพบสัจธรรมแห่งการสลายตัวตนขณะที่เขามุ่งมั่นฝึกวิทยายุทธ์เพื่อค้นหาตนเองได้

.............


ผมขอทบทวนไฮไลต์ของความรักกับจอมยุทธ์ที่นี่อีกครั้งสำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ของผมจะได้มีความคุ้นเคยกับตัวละครตัวนี้ก่อนฉากนั้นเป็นฉากที่สันติชาติอโศกาลัยอดีตนักเรียนไทยที่เคยไปเรียนต่อยังประเทศญี่ปุ่นเพิ่งกลับมาอยู่ในเมืองไทยด้วยสภาพหัวใจที่แหลกสลายไม่มีชิ้นดีเพราะคนรักที่เขาคิดจะแต่งงานด้วยเพิ่งเสียชีวิตไปโดยอุบัติเหตุรถยนต์


ความสูญเสียในครั้งนี้ได้ทำลายความหวังในชีวิตของเขาไปจนสิ้นไม่เหลือแม้แต่ความแค้นใดๆหรือความใฝ่ฝันใดๆทั้งปวงในช่วงจังหวะนั้นเองที่เขาได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับอริยสงฆ์ท่านหนึ่งเพียงสองต่อสองซึ่งมีผลทำให้เขาสามารถเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณได้อีกครั้งเนื้อหาการสนทนาระหว่างสันติชาติกับอริยสงฆ์ท่านนั้นมีใจความบางตอนดังนี้...

 
เท่าที่ผ่านมามีคนมากมายหลายประเภทที่มาหาเรามาแลกเปลี่ยนทัศนะกับเรามาขอคำแนะนำจากเราแต่คนที่มีประกายตาอย่างเธอประกายตาที่มีความลุ่มลึกดุจ นักรบผู้ช่ำชองในการต่อสู้ อย่างเธอนี้ดูเหมือนจะเป็นคนแรกนะ


กราบเรียนพระคุณเจ้าที่เคารพที่ผมมาหาท่านโดยผ่านการแนะนำจากสมณะที่เป็นสาวกของท่านในครั้งนี้นั้นก็เนื่องจากผมมีความข้องใจและไม่กระจ่างบางประการเกี่ยวกับสัจจะของชีวิตที่ผมอยากจะเรียนถามความเห็นจากท่านเพื่อก่อให้เกิดความสว่างแก่จิตใจผมบ้างเถิดครับท่านครับ


ผมได้สูญเสียคนใกล้ชิดอันเป็นที่รักไปหลายครั้งแล้วไม่ว่าจะเป็นพี่ชายของผมคนรักของผมและคุณยายของผมทำไมถึงเป็นเช่นนี้ครับชีวิตของคนเรานี้เกิดมาเพียงเพื่อพบกับความพลัดพรากและการสูญเสียสิ่งที่เรารักไปเท่านั้นหรือครับความสุขต่างๆที่เราได้รับในระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่นี้ทำไมถึงสั้นเหลือเกินครับมันคล้ายกับการได้รับน้ำดื่มเพียงเพื่อประทังความกระหายในระหว่างการเดินทางบนทะเลทรายยังงั้นแหละครับ


ถ้าเราจะตอบเธอเหมือนกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่กามนิตหนุ่มว่าความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์เธอจะพอใจไหมเราดูจากสีหน้าของเธอก็พอจะรู้ว่าคนที่ดูท่าทางมีการศึกษาดีอย่างเธอคงจะเคยได้ยินพุทธวัจนะข้อนี้มาแล้วและคงจะเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของมันแล้วเพียงแต่เธอยังมีบางสิ่งบางอย่างติดค้างอยู่ในใจเธอใช่มั้ยพ่อหนุ่ม


ใช่ครับเท่าที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าชีวิตของผมประสบกับความผิดหวังมาโดยตลอดในเกือบทุกเรื่องพี่ชายของผมต้องเสียชีวิตไปอันเนื่องมาจากความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันเอง


ผมเคยพยายามเข้าไปมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อให้การตายของพี่ชายผมคุ้มค่าแต่ก็ประสบกับความล้มเหลวเราไม่สามารถทำอะไรที่เราคิดว่าเป็นประโยชน์ได้ดังใจที่เราปรารถนาเลยทั้งๆที่เราก็มีความหวังดีเพื่อคนส่วนใหญ่อยู่เต็มหัวใจความเดือดร้อนของผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่ทุกหย่อมหญ้าแม้ในสมัยนี้ครั้นผมเริ่มเบนชีวิตของผมมาเพื่อตนเองและคนใกล้ชิดที่ผมรักแต่ผมก็ไม่อาจปกป้องคุ้มครองสิ่งที่ผมรักได้


 
ท่านครับคนเราไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งการบรรลุในความสุขของชีวิตของตนเองเลยหรือครับ? ผมได้พยายามดำเนินชีวิตอย่างดีที่สุดแล้วพยายามตั้งอยู่ในคุณธรรมแล้วและคนที่ผมรักทุกคนพวกเขาต่างก็เป็นคนดีทั้งสิ้นแต่ทำไมพวกเขาถึงต้องประสบกับเคราะห์กรรมเช่นนี้และทำไมผมต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมเช่นนี้สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่ผมได้ประสบมาครั้งแล้วครั้งเล่านั้นมันบั่นทอนความศรัทธาในการทำความดีของคนเราครับทั้งๆที่ผมยังอยากเชื่ออยากศรัทธาในการทำความดีนี้อยู่ครับ


ดูกรพ่อหนุ่มผู้มีทั้งฝีมือสติปัญญาและความแข็งแกร่งทางร่างกายแต่มีหัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลความโหดร้ายทารุณของมนุษย์ก็ดีความเดือดร้อนของมนุษย์ที่เป็นไปในโลกขณะนี้ก็ดีล้วนเกิดขึ้นเพราะคนเราไม่ยอมเรียนรู้ไม่ยอมทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณไม่ยอมเห็นความสำคัญของธาตุจิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งๆที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงยืนยันความสำคัญของจิตวิญญาณว่า จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงทุกอย่างสำเร็จด้วยจิตวิญญาณ


โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิญญาณที่อยู่ในตัวบุคคลนี่แหละที่เป็นตัวสำคัญในการสร้างสรรค์เป็นตัวที่มีบทบาทมีอำนาจมีฤทธิ์แรงที่จะทำให้เกิดทุกข์หรือดับทุกข์ได้เพราะฉะนั้นถ้าหากคนเราต้องการสังคมคนดีและทุกคนมีความสุขทุกๆคนก็ต้องช่วยกันสร้างจิตวิญญาณแต่ละดวงของตนให้เป็นจิตวิญญาณของความดีเสียก่อน


ผมยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดกระจ่างนักครับการที่ตัวเรามีเจตนาดีมุ่งหวังจะสร้างสังคมที่ดีกว่ามุ่งหวังจะทำเพื่อชีวิตที่ดีของประชาชนส่วนใหญ่แล้วเราทุ่มเทชีวิตของเราให้กับสิ่งนี้ทำการศึกษาศิลปะวิทยาการต่างๆเพื่อสิ่งนี้ทำการต่อสู้กับอธรรมความชั่วร้ายความไม่ถูกต้องและอุปสรรคต่างๆเพื่อเป้าหมายอันนี้โดยไม่ต้องเรียนรู้ในเรื่องของจิตวิญญาณของตนเลยยังไม่เป็นการเพียงพอและสามารถนำพาเราให้พบกับความสุขและความพอใจในชีวิตของเราอย่างแท้จริงได้อย่างงั้นหรือครับท่าน


ถูกแล้วพ่อหนุ่มผู้มีความจริงใจและยังมีความปรารถนาจะทำความดีพุทธศาสนาเห็นว่าการทำคุณความดีทุกอย่างต้องมีจังหวะมีขั้นตอนมีส่วนต้นส่วนกลางส่วนปลายคนเราจะเห็นดีเห็นชั่วก็เท่าที่ตนจะแลเห็นได้เท่านั้นแต่นั่นมันมิใช่คือหมายความว่าความโน้มเอียงที่ผิดพลาดหรือมิฉาทิฏฐิในเรื่องการทำความดีนี้มักจะเกิดใน 2 กรณี


กรณีแรกเรียกว่าเอียงขวาคือเป็นคนที่หนักไปข้างน้อยหรี่และดับหมายความว่าเป็นพวกที่เห็นแก่ตัวเอาตัวรอดไม่ทำอะไรที่สร้างสรรค์สร้างสาระให้กับโลกตัวเองดีคนเดียวก็พอ


ส่วนอีกกรณีหนึ่งเรียกว่า เอียงซ้าย คือเป็นฝ่ายฟุ้งซ่านเห็นแก่ประโยชน์ใหญ่มุ่งสร้างประโยชน์แก่มวลชนคิดมากปรุงมากพูดมากสอนมากได้แต่สอนคนอื่นแต่ไม่สอนตัวเองไม่กระทำไม่ประพฤติให้แก่ตัวเองจึงไม่รู้จริงแต่รู้มากเลยรกเลอะผิดเพี้ยนวนวุ่นใครจะทำผิดทำถูกพอเหมาะพอดีเพียงไรไม่มีปัญญารู้แท้ตัดสินเด็ดขาดไม่เป็นซ้ำร้ายตนเองก็ไม่รู้ตัวเองว่าทำเลวทำผิดอยู่เพียงใด  ค้านแย้งกับคำพูดคำสอนของตนเพียงใดก็ไม่รู้มุ่งแต่ความใหญ่ความมากมุ่งรู้แต่ออกนอกตนแต่ไม่คิดมุ่งเข้าหาตน

 
 
สันติชาติถึงกับหน้าชาเพราะท่านพูดได้ตรงเป้าแทงใจเขาเหลือเกิน เขารู้สึกละอายตนเองนักเมื่อหวนไปทบทวนพฤติกรรมที่ผ่านมาในอดีตของเขาที่ดูเหมือนจะเข้าข่ายกรณีที่หรือเอียงซ้ายอย่างที่ท่านว่าไว้นี่คงเป็นเพราะความหลงหรือมิจฉาทิฏฐิของตัวเขาเองในเรื่องการทำความดีจึงทำให้คนรุ่นเขาและตัวเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ของคนดีหรือความทุกข์อันเนื่องมาจากการมุ่งทำความดีแต่ขาดทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับความดีอย่างเจ็บปวดเป็นเวลาหลายปีเขาจึงเรียนถามอริยสงฆ์ท่านนั้นต่อไปว่า


ถ้าเป็นอย่างที่ท่านบอกแล้วทางสายกลางที่ไม่เอียงซ้ายและไม่เอียงขวาในการทำความดีคืออะไรครับ


ดูกรพ่อหนุ่มผู้เป็นนักแสวงหาและเดียวดาย พุทธศาสนาเห็นว่า คนคือกากเดนแห่งอวิชชา คนเกิดมาด้วยความหลงคนธรรมดาย่อมต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนทำมาเมื่อเขายังไม่มีอำนาจดับกิเลสอันเป็นตัวพาเกิดจึงไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น


แต่ถ้าคนผู้นั้นมีความมุ่งมั่นที่จะทำความดีอย่างแท้จริงแล้วแม้เขาจะถูกโลกมอมเมาให้หลงผิดไปพักหนึ่งแต่แล้วเขาก็จะค่อยๆตระหนักและเรียนรู้ได้เองแหละว่า ชีวิตที่แท้คือการทำงาน


คนเราเกิดมาก็เพื่อพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์ที่สุด งานของคนแต่ละคนก็คือ การพัฒนาชีวิตของตน ปรับเปลี่ยนกรรมหรือการกระทำของตนจากมิจฉาสู่สัมมาจากโลกียะสู่โลกุตตระขึ้นเรื่อยๆโดยที่การพัฒนาชีวิตของตนก็คือการฝึกให้รู้ทุกข์รู้โลกนั่นเอง


รู้ทุกข์รู้โลกหรือครับ


ถูกแล้วคนเราจะต้องเรียนรู้ทุกข์ของโลกทุกแง่ทุกมุมจากนั้นก็สั่งสมเทคนิควิธีการและความชำนาญในการละทุกข์ให้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเรียนรู้แล้วเลิกละทุกข์ของตนได้ในระดับหนึ่งๆซึ่งต่างกันไปตามภูมิธรรมของแต่ละคนแล้วคือ เมื่อประโยชน์ตนจบในระดับหนึ่งแล้วจึงค่อยทำแต่ประโยชน์ท่านโดยที่ก็ยังไม่เลิกในการพัฒนาตนเองต่อไปด้วย


หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งได้ว่า คนเราจะต้องสร้างแก่นสารขึ้นมาในตัวเองให้ได้เสียก่อนโดยที่คนเราแต่ละคนจะมีแก่นสารมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความคิดที่เป็นแก่นสารการพูดที่เป็นแก่นสารและการกระทำที่เป็นแก่นสารของคนผู้นั้นเอง ผู้ที่มีแก่นสารหรือสาระแล้วก็ต้องทรงแก่นสารหรือสาระนั้นๆไว้ด้วยการพูดและการกระทำด้วยพฤติกรรมของตนด้วยกิจกรรมทุกชนิดทุกบทบาททุกเวลาทุกอิริยาบถถึงจะค้ำจุนโลกและสร้างสาระไว้ให้แก่โลกได้


แล้วคนเราจะพัฒนาจิตวิญญาณของความดีเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไรครับ
 

 
จิตวิญญาณที่ดีคือจิตวิญญาณที่มีฌานเป็นพลังพื้นฐานจิตที่เป็น ฌานเป็นจิตที่ละเอียดอ่อนสุขุมว่องไวเหมาะแก่งานเมื่อจิตวิญญาณมีพลังสมบูรณ์จะไม่หวั่นไหว


วิญญาณคืออาการรู้ของมนุษย์ การพัฒนาจิตวิญญาณที่ดีก็คือการทำให้วิญญาณผ่องใสด้วยการละกิเลส เมื่อกิเลสลดลงจิตจะสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆยิ่งจิตสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเท่าใดจิตก็จะยิ่งเล็กลงและยิ่งละเอียดขึ้นยิ่งจิตเล็กลงและละเอียดขึ้นเท่าใดปัญญาย่อมยิ่งใหญ่ขึ้นจิตจะมีสมรรถภาพมากขึ้นแข็งแรงขึ้นมีพลังมากขึ้น


แต่เมื่อจิตยิ่งเล็กลงยิ่งละเอียดขึ้นก็ต้องการสิ่งรองรับที่บริสุทธิ์สะอาดยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งสามารถทำได้ด้วยความเพียรทางจิตจิตวิญญาณก็จะยิ่งเล็กลงอีกยิ่งละเอียดขึ้นอีกจนไม่ติดเครื่องอาศัยใดๆในมหาจักรวาลยกเว้นกายหยาบๆของตนสำหรับผู้ที่มีจิตเล็กที่สุดจิตนั้นจะมีความไม่มีหรือความว่าง...”


เมื่อสันติชาติฟังตามอริยสงฆ์ท่านนั้นมาถึงตรงนี้เขาก็เกิดความสะดุดฉุกใจคิดขึ้นมาทันทีอริยสงฆ์ท่านนี้ได้กล่าวถึง ความว่างของจิตว่าเกิดจากการทำให้จิตของเราเล็กลงละเอียดขึ้นโดยผ่านการทำให้จิตบริสุทธิ์ผ่องใสและการลดละกิเลส! สันติชาติหวนนึกถึงโอวาทคำสั่งสอนล่ำลาครั้งสุดท้ายของอาจารย์ลิ้มซึ่งเป็นครูมวยจีนคนแรกของเขาที่ให้แก่เขาเมื่อ 5 ปีก่อนว่า


เป้าหมายขั้นสุดท้ายของการบรรลุการฝึกวิชาฝีมือของมวยภายในนั้นก็คือการยกระดับจิตวิญญาณไปสู่ความว่างหรือสุญญตาและในคัมภีร์มวยภายในที่เขาได้รับมาจากคุณยายของเขาก็ได้กล่าวย้ำถึงเรื่องนี้เช่นกัน


เพียงแต่ตอนนั้นสันติชาติยังไม่ทราบขั้นตอนและวิธีการฝึกฝนเพื่อไปสู่ ความว่างนี้ว่าจะทำได้อย่างไรจึงทำให้ระดับฝีมือของเขาที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้อยู่ในระดับที่ย่ำอยู่กับที่มิได้รุดหน้าไปเท่าที่ควรจนตัวเขาแทบจะปลงใจเสียแล้วว่าเป้าหมายที่เป็นนามธรรมอันนี้เป็นเพียงคำขวัญในเชิงปรัชญาลัทธิเต๋าที่กล่าวออกมาอย่างลอยๆของผู้ฝึกวิชามวยจีนเท่านั้นแต่ไม่อาจจะไปถึงได้


บางทีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาอาจจะได้รับจากอริยสงฆ์ท่านนี้ก็เป็นได้เขาจึงรีบเรียนถามท่านด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างตื่นเต้นว่า


ท่านครับในพุทธศาสนามีการสอนอย่างเป็นระบบและอย่างเป็นขั้นตอนหรือเปล่าครับว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถยกระดับจิตวิญญาณของคนเราสู่ภาวะความว่างหรือสุญญตาได้?”


อริยสงฆ์ท่านนั้นตอบสันติชาติอย่างหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า


มีสิพ่อหนุ่ม!”


สันติชาติรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเขาแสวงหามานานปีนั้นกำลังจะได้รับการเปิดเผยต่อเบื้องหน้าของเขาแล้วในบัดนี้


.............


หลังจากที่ผมได้แนะนำ สันติชาติอโศกาลัยตัวเอกของนิยายเรื่องนี้ให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักตัวเขาพอสังเขปแล้วผมจะขอถ่ายทอดเรื่องราวอีกช่วงหนึ่งในชีวิตของเขาหลังจากนั้นให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ดังต่อไปนี้


 
 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้