วิชาลม 7 ฐานเป็นสุดยอดวิชาของพระโพธิสัตว์

วิชาลม 7 ฐานเป็นสุดยอดวิชาของพระโพธิสัตว์


หลวงปู่ : วิชาลม 7 ฐานเป็นสุดยอดวิชาของพระโพธิสัตว์


 

เท่าที่ตัวผมได้ค้นคว้ามาในช่วงหกปีมานี้ "หลวงปู่" ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาลม 7 ฐานให้แก่ลูกหลานเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2536 ครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2540 ระหว่างที่พวกผมไปบวชชีพราหมณ์ที่ถ้ำไก่หล่น เนื่องจากวิชาลม 7 ฐานนี้เป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ ท่านคงเลือกถ่ายทอดในบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และตัวผู้รับก็อยู่ในสภาวะ กาย-จิตศักดิ์สิทธ์ หรือในสภาวะ "ผู้บวช "เท่านั้น เพราะฉะนั้นการถ่ายทอดวิชาลม 7 ฐานของ "หลวงปู่" จึงมีความหมายยิ่งในแต่ละครั้ง หาก "หลวงปู่" จะไปจากพวกเราจริงในปี พ.ศ.2542 ตามที่ผมได้รับทราบจากมาจากศิษย์ผู้ใกล้ชิด บางทีการถ่ายทอดเคล็ดวิชาลม 7 ฐาน ให้แก่พวกผมตอนปลายปี พ.ศ. 2540 อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ ดังนั้นผมขอถอดเทปการถ่ายทอดเคล็ดวิชาลม 7 ฐานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2536 มาลงในที่นี้อย่างละเอียด เพื่อให้เป็นหลักฐานสมบูณ์ที่มีค่ายิ่งสำหรับอนุชนคนรุ่นหลังที่คงไม่ได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับ "หลวงปู่" เหมือนพวกผม….


"หลวงปู่"ได้ถ่ายทอดดังนี้

(1) "ปราชญ์โบราณเขาบอกว่าตื่นเช้าขึ้นมา คนที่มีความคิดก้าวไกล ผู้นำที่ยิ่งใหญ่และผู้ที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลมผ่องใส เขาจะมีวิธีการเจริญปัญญา ทำให้สมองแจ่มใสและใช้งานได้สมบูรณ์ตลอดทั้งวัน… ตื่นเช้าขึ้นมาต้องเช้าๆนะ ไม่ใช่เช้าแก่ๆ ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ มีแต่แสงสว่างแต่ยังไม่มีแสงอาทิตย์ ให้เงยหน้ามองไปในท้องฟ้า แล้วก็ปล่อยความคิด จิตวิญญาณให้เปิดกว้างไกล ใช้สายตาสำรวจองศาในการมองให้ครบ 180 องศา นั่นคือ เปิดตาให้มองกว้าง รับสัมผัสเสียงทั้งหมดที่มีอยู่รอบๆกายให้ครบทุกชนิด สูดกลิ่นรอบๆกายที่มีอยู่รอบๆให้ครบทุกอย่างครบถ้วน ผิวหนังเปิดกว้างรับสัมผัสกลิ่นไอของธรรมชาติและบรรยากาศรอบๆ ทำให้อวัยวะทั้งหลายตื่นตัว ตื่นตน เตรียมที่จะเป็นคนที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า เมื่อฝึกอย่างนี้ทุกๆวัน นั่นคือ คุณสมบัติของผู้นำ ผู้ยิ่งใหญ่ มันจะสั่งสอน สั่งสม อบรมสมอง และเซลล์ประสาททั้งหลายให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และเตรียมการที่จะทำงานหนักในเวลาต่อไป เหมือนกับเราติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้เพื่อจะให้มันสูบฉีดน้ำมันไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์จนเห็นว่าพอสมควรแก่เวลา เราก็เดินเครื่องยนต์ทำงาน มันจะไปได้อย่างนิ่มนวลคล่องแคล่วแล้วก็กระฉับกระเฉง….."


ขยายความ…….หากจำได้ว่าในปี พ.ศ. 2540 "หลวงปู่" ได้สอนพวกผมว่า วิชาลม 7 ฐานหมายถึง ศิลปะในการดำรงชีวิต สิ่งที่หลวงปู่ถ่ายทอดข้างต้นก็คือ สำเนียกรับทราบแบบมีศิลปะ ดูแบบมีศิลปะ ฟังแบบมีศิลปะ และสัมผัสซึมสิงแบบมีศิลปะอันเป็นฐานขั้นต่อๆ ไปจากการหายใจอย่างมีศิลปะซึ่งเป็นฐานที่ 1 ของลม 7 ฐาน นั่นเอง!! "หลวงปู่" ท่านกล่าวไว้ชัดเจนว่า แต่ละเช้าในช่วงที่ไม่ใช่เช้ามืด คือพอเห็นแสงสว่างแต่ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ ให้เราเงยหน้ามองขึ้นไปในท้องฟ้า ปล่อยความคิด ความรู้สึกให้เปิดกว้างไกล ใช้สายตาสำรวจไปโดยรอบ มองให้กว้าง รับฟังเสียงต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบกายให้ครบถ้วน สูดกลิ่นรอบ ๆ กายให้ครบทุกอย่าง หายใจด้วยผิวหนังจนมันสัมผัสซึมสิงกลิ่นไอของธรรมชาติและบรรยากาศรอบ ๆ ได้หมด "หลวงปู่" บอกว่าวิธีการข้างต้นนี้จะทำให้ตัวเราพร้อมที่จะเป็น "พุทธะ" ตลอดทั้งวันของวันนั้นได้ ดุจการติดเครื่องยนต์เพื่อเตรียมให้มันใช้งานหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดวันนั้น ท่านยังบอกว่านี่แหละคือ เคล็ดในการดำรงชีวิตของ "มหาบุรุษ" ฐานที่ 1 ของลม 7 ฐาน เราต้องฝึกทุกครั้งที่คิดถึงมันด้วยการหายใจแบบโกลัมปะ แต่ฐานอื่น ๆ อย่างน้อยอีก 4 ฐานของลม 7 ฐาน ควรฝึกทุกเช้าในเวลาเช้าตรู่ ตามเคล็ดข้างต้น

(2) "เมื่อเรายืนสัมผัสต่อกลิ่นไอเรียบร้อยแล้ว เธอจงยกแข้งยกขาแบบชนิดที่มีจิตใจกำกับควบคุมในการยก ควบคุมพลังที่หมุนเวียนไปตามกระบวนการของการเคลื่อนไหวแขนขาที่สบาย ๆ บางเบา สดชื่นโปร่งโล่ง พร้อมกับการสูดลมหายใจอย่างยาว นิ่มนวลแล้วก็หนักแน่น แล้วจึงพ่นลมออกมายาว ๆ อย่างอ่อนโยน แผ่วเบาเป็นรสชาติ กลิ่นไอแห่งธรรมชาติที่เราได้ดื่มด่ำ ลิ้มรสมันอย่างที่บางคนอาจจะคิดว่า เราไม่เคยได้รับสัมผัสกลิ่นไอแบบนี้มาก่อน แล้วเราก็จะเกิดประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของเราที่มีลักษณะเฉพาะตนซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน………."

ขยายความ……….หลวงปู่บอกว่า หลักจากที่ยืนสัมผัสกลิ่นไอเสร็จแล้ว ให้ขับเคลื่อนลมปราณพร้อมกับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างผ่อนคลาย เบาสบาย สดชื่นโปร่งโล่งขณะเดียวกันก็ให้ฝึกฐานที่ 1 ของลม 7 ฐาน หรือหายใจแบบโกลัมปะ ถ้าเป็นฆราวาสอย่างตัวผม ผมคงให้การร่ายรำมวยไท้เก๊กของผมบรรลุเคล็ดวิชาในข้อนี้ของหลวงปู่ หากผู้ใดหัดหทะโยคะมาก็น่าจะใช้ท่า "สุริยนมัสการ" บรรลุเคล็ดวิชาในข้อนี้ได้เหมือนกัน หลวงปู่ยังบอกอีกว่า หากได้ทำเช่นนี้แล้วผู้นั้นจะเกิด "ประสบการณ์ ทางจิตวิญญาณ" ที่มีลักษณะเฉพาะตนของคนผู้นั้นด้วย

(3) "มันเป็นประสบการณ์ของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ ให้เต็มปอด แล้วผ่อนลมออกมาอย่างแผ่วเบา ยาว ๆ นิ่มนวลสักหลาย ๆ ครั้งเท่าที่เราสามารถทำได้ ลองสำเนียกดูซิว่าตัวเองมีอารมณ์อะไรลึก ๆ ตรงนี้บ้าง ถ้ายังมีคนอื่นไม่ว่าจะเป็นลูก เมีย ผัว บ้าน ญาติ พ่อ แม่ เพื่อน อยู่ในหัวใจรวมทั้งการงานให้โยนมันทิ้งไป เหลือไว้แต่ตัวเราล้วน ๆ ผู้มีอารมณ์อันสดใส แช่มชื่น เบิกบาน แล้วเราจะรู้ว่า กลิ่นอายของธรรมชาติช่างเป็นการเสริมสร้างชีวิตวิญญาณของเราให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นได้อย่างเยี่ยมยอด บรรยากาศของธรรมชาติช่างเป็นความเร่งเร้าไฟในร่างกายของเราให้ลุกกระพือ เพื่ออยากจะได้ทำกิจกรรมยามเช้าอันสดชื่นต่อไปอย่างชนิดไม่คิดเหนื่อย เมื่อย เบื่อ เซ็ง…………"

ขยายความ………."หลวงปู่" บอกว่า เราต้องสลัดอารมณ์ในเชิงลบทั้งหลายทั้งปวงทิ้งให้หมด ให้ในตัวเราเหลือแต่อารมณ์อันสดใส แช่มชื่น เบิกบานเท่านั้น นอกจากนี้ท่านยังบอกให้เราในขณะนั้นจงสลัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ทั้งหลายให้หมดไปจากใจ ให้ "เหลือแต่เราล้วน ๆ" นี่คือความหมายที่แท้จริงของ "เอกบุรุษ" หรือ "เอกสตรี" ที่แปลว่า "ผู้มาคนเดียว" หรือ "ผู้อยู่คนเดียว" บนทางสายเอกหากเราทำได้เช่นนี้แล้ว "หลวงปู่" ยืนยันว่า เราจะเข้าถึงประสบการณ์ของ "พุทธะ" ได้ ท่านยังบอกเราอีกว่า พลังของธรรมชาติหรือจักรวาล (พลังจักรวาล) หรือ "กลิ่นไอของธรรมชาติ" หรือ "ปราณ" คือแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมดสิ้นที่จะมาช่วยเสริมสร้างชีวิตและจิตวิญญาณของเราได้อย่างเยี่ยมยอดที่สุด

(4) "รูปลักษณ์แห่งธรรมชาติที่ดวงตาเราได้เก็บข้อมูลรอบ ๆ ไว้ ช่างเป็นกระบวนการที่ปลุกเราให้เป็นผู้ที่มีวิญญาณอันแจ่มใสและเบิกบานอย่างยิ่งใหญ่ บรรยากาศที่กระทบและแตะต้องผิวหนังทั้งหลายในกายเรา ช่างเป็นบรรยากาศที่เติมแต้มกลิ่นอาย สี เสียง แสงให้กับชีวิตเราอย่างเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานและแจ่มใส ช่างเป็นชีวิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมบูรณ์แห่งอารมณ์ สันติ เยือกเย็น แล้วก็สงบ ถ้าเราไม่ได้รสชาติเหล่านี้ก็เท่ากับว่าเราใช้ธรรมชาติจักรวาล และสิ่งแวดล้อมรวมทั้งชีวิตอย่างไม่เป็นสาระ ถือว่าเราได้ครึ่งเดียวหรือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ จำไว้นะลูกจงอย่างพยายามก้มหน้าเมื่อตื่นขึ้นมายามเช้าคนที่ก้มหน้าตอนเช้าเขาถือว่า เป็นพวกโดนธรณีสาป คือเป็นพวกที่ค่อนข้างจะไม่เอาถ่าน ไม่เอาโลก ไม่เอาเรื่อง แล้วก็มีความคิดสั้น ๆ ต่ำ ๆ สมองปัญญาไม่แจ่มใสเป็นคนเจ้าทุกข์ อมโรค มีจิตใจที่ค่อนข้างจะหวาดระแวง วิตกกังวล หวาดผวา สะดุ้งกลัว พวกที่นั่งก้มหน้า เดินก้มหน้า ยืนก้มหน้า จึงเป็นกระบวนการของการสาปแช่งตัวเอง………."

ขยายความ…คนส่วนใหญ่ยังใช้พลังของธรรมชาติ ของจักรวาล ของสิ่งแวดล้อมไม่เป็น ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกิน

(5) "เราดูลูกนกซิลูก ตื่นเช้ามาปุ๊ป สิ่งที่มันทำก่อนเบื้องต้น คือ มองไปในทิศเบื้องบนแล้วมองดูในทิศท่ามกลาง สายตามองตรงไปข้างหน้า แล้วเก็บสิ่งแวดล้อมของธรรมชาติ ดื่มด่ำกับกลิ่นอายของมันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตอนนี้ถ้าจะเปรียบร่างกายเราก็จะเหมือนกับตุ่มว่าง ๆ ที่ยังไม่มีอะไรอยู่ในตุ่มนั้น แล้วก็เปิดกว้างให้มันรับกลิ่นอายของอากาศ และอะไร ๆ ในความสดชื่นแจ่มใส ใส่เข้าไปใสชีวิตวิญญาณ เติมแต้มพลังของเราให้มากมวลไปด้วยสภาวะของความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คิดทำการงานหน้าที่ต่อไปอย่างกระฉับกระเฉงเต็มเม็ดเต็มหน่วย รวดเร็ว เร่งรีบ รวบรัด แล้วให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยด้วยการใช้พลังให้เป็นถูกต้องตรงบริสุทธิ์ต่อชีวิตวิญญาณที่เราได้รับประโยชน์…….."

ขยายความ…..คำสอนตรงนี้ของหลวงปู่คล้ายกับคำสอนของเล่าจื่อในคัมภีร์ "เต๋าเตอจิง" บทที่ 5 ที่กล่าวว่า "ช่องว่างระหว่างฟ้าดิน คงเหมือนกับเครื่องเป่าลมใส่เตาไฟกระมัง? แม้ข้างในจะดูเหมือนว่างเปล่า แต่แฝงไว้ซึ่งพลังที่ไม่รู้จบสิ้น" อันเป็นเคล็ดวิชากำลังภายในที่เป็นที่มาของ "พลังที่ไม่รู้จบสิ้น"

(6) "เดี๋ยวหลวงปู่จะสอนลม 7 ฐานให้เรานิดหนึ่ง ดูว่าเราจะเรียนรู้ได้แค่ไหน ผู้ชายนั่งขัดสมาธิ ยืดอกขึ้นไม่ใช่ยืดคอ สำรวจตรวจดูสันหลังของเราว่า กระดูกข้อต่อของเรานั้นมันตรงทุกข้อ ขบกับหรือเปล่า ค่อย ๆ หลับตาด้วยความนิ่มนวลและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว…..ลองดูซิ……ใช้ความรู้สึกสำรวจดูตั้งแต่ข้อต่อ ต้นคอ ยันกระดูกสันหลังทุกท่อนว่ามันขบกันไหม ? มันเบี้ยวมันตั้งตรงมั้ย ขยับตัวให้ได้ตรงๆ นะลูก ถ้ามันไม่เข้าที่ก็ขยับให้เข้าที่นะ"

(7) "หลวงปู่ได้เขียนไว้ในคัมภีร์ 12 ราศีว่า จุดกำเนิดพลังในกายคือ การทำท่อส่งพลังให้ตรง โครงสร้างกระดูกในร่างกายเรา คือ ท่อส่งพลัง แต่ถ้ามันขบ มันเบี้ยวก็เหมือนกับสายยางที่หักงอน้ำก็จะไหลช้า เพราะฉะนั้นจงทำท่อส่งพลังให้ตรง อย่าเงยหน้า อย่าคว่ำหน้า อย่าเงยคอ หรือแหงนคอ สายตาทอดลงต่ำแล้วก็หลับตา…..เมื่อจัดระเบียบของกายให้เข้าที่เข้าทางแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ แผ่วเบา นิ่มนวลให้เต็มปอด เมื่อรู้สึกตัวว่ามันเต็มแล้ว ก็ผ่อนลมออกมาอย่างแผ่วเบา ยาว ๆ ช้า ๆ คราใดที่เราผ่อนลมหายใจออก มันเป็นการผ่อนความร้อน ความเครียด ความเบื่อ ความเมื่อย ความเซ็งทุกอย่างออกมากับลม จงคิดอย่างนั้นแล้วสูดลมเข้าไปใหม่ เมื่อผ่อนลมออกมาหมดแล้ว จงเอากลิ่นอายแห่งพลังเข้าไปปรุงแต่งชีวิตวิญญาณ และเซลล์ประสาทของเราให้สดชื่นแจ่มใสอย่างเนิบนาบ ช้าๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น แล้วผ่อนคลายลมออก…….."

(8) "ทำอย่างนี้โดยไม่ให้มีอะไรเข้ามาอยู่ในกาย ไม่ว่าจะเป็นญาติ งาน อารมณ์อื่น ความเครียด ความง่วง ความสับสนวุ่นวาย ระแวงสงสัยต้องไม่มี ให้มีแต่ลมหายใจกับการขับไล่ของเสียในกายเท่านั้น จงสูดลมหายใจอย่างแผ่วเบา ยาวเชื่องช้า แต่หนักหน่วง เต็มเปี่ยม แล้วก็ผ่อนคลายพ่นออกมาด้วยความเนิบนาบนิ่มนวล หมดจด หากมีความรู้สึกว่า เรามีจุดใดในร่างกายบ้างที่เราเครียด เราเหนื่อย เราเมื่อย เราเพลีย ก็ทำความรู้สึกให้ลมมันเดินไปสู่จุดนั้น ๆ แล้วขับไล่มันออกมาพร้อมกับลมหายใจออก เวลาสูดลมหายใจเข้ามีเทคนิคอยู่นิดหนึ่งว่า ถ้าเรารู้สึกเหนื่อยให้พักสักนิดด้วยการหายใจธรรมดา เมื่อหายเหนื่อยแล้ว ก็เริ่มหายใจยาว ๆ เบา ๆ เชื่องช้าเข้าไปใหม่ ไม่ใช่หายใจแบบปั๊มลม หรือหมาหอบ เป็นการปล่อยลมออกแบบนุ่มนวลเนิบนาบ เชื่องช้าหนักแน่น และหมดจด…..ลองทำแบบนี้สักพักหนึ่งนะ ใครที่สามารถขับไล่อะไรออกไปจากกายได้ถือว่าใช้ได้………"

(9) "อย่าให้ท่อส่งพลังของเรางอนะลูก ยืดอกขึ้น ถ้าเรานั่งงอกระดูก มันจะเป็นผลเสียต่อความคิดต่อสมอง สมองของเราจะไม่โลดแล่น ปัญญาเราจะไม่เปิดกว้างจิตใจเราจะไม่กล้าแข็ง พลังมันจะเข้าไปสู่ร่างกายได้ไม่สมบูรณ์ สุดท้ายก็กลายเป็นคนเกียจคร้านไม่เอาโลก ไม่เอาเรื่อง โครงสร้างของกระดูกนี่เป็นส่วนสำคัญของร่างกายนะลูก หากชักกระดูกออกก็เหลือแต่เนื้อกับหนังกองอยู่เหมือนหมูก้อนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ฝึกบริหารกระดูกก็เท่ากับว่าร่างกายขาดชีวิตที่มีพลังไป……"

(10) "เอาใหม่ เริ่มต้น ตั้งลมหายใจให้มันสบาย ๆ แบบแผ่วเบาแล้วไม่มีอะไรอยู่ในหัวใจ ใครที่ง่วงอยู่ต้องทำลายความง่วงให้ได้ เอาชนะให้ได้แบบผู้เข้มแข็งและเป็นผู้ตื่น เริ่มต้นใหม่ ยืดอกขึ้นให้เต็มที่ สายตาทอดลงต่ำ อย่าเงยหน้าหลับตาแบบนิ่มนวล และแผ่วเบาแบบสนิท เสร็จเรียบร้อยแล้วสำรวจโครงสร้างของร่างกายให้ตรงในส่วนบนตั้งแต่กระดูกสันหลังยันลำคอให้เป็นแนวดิ่ง และตั้งฉากกับกระดูกขาและหน้าตัก ทอดแขนลงแบบเบา ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องเกร็งหัวไหล่ ไม่ใช่ห่อหรือไม่เกร็งให้มันตั้ง แต่ปล่อยแบบสบาย ๆ ไม่มีอะไรในร่างกายเราที่เป็นความหนัก ต้องเป็นภาระ แม้แต่ลูกตาก็หลับแบบพักผ่อนสนิท หูไม่ต้องรับสัมผัสอะไร นอกจากเสียงที่ได้ยินได้ฟังแล้วได้ประโยชน์ เวลานี้จมูกไม่ต้องแสวงหา กลิ่นอะไร ๆ นอกจากลมหายใจที่เข้าแบบเนิบนาบ นิ่มนวล เชื่องช้า และยาวสนิทเต็มที่…….."

(11) "สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด เต็มหน้าอก แล้วพ่นลมออกมายาว ๆ แผ่วเบา ช้า ๆ แล้วก็สูดเข้าไปใหม่ แบบชนิดเริ่มชีวิต สดชื่น แจ่มใส ให้เต็มที่เต็มปอดเต็มหน้าตา แล้วก็รวบรวมความเลวร้ายขัดข้องทั้งหลายที่มีอยู่ รวมทั้งปัญหากองอยู่กับลมที่จะพ่นออก แล้วก็ผลักดันมันออกมาพร้อมกับลมหายใจออกความขัดข้องปัญหาทั้งหลายทั้งปวง รวมไว้เป็นกองในกายส่วนปลายจมูกหรือที่หน้าอก เมื่อสูดเข้าไปให้ลมมันเข้าไปอยู่ในช่องท้องและปอดให้เต็มที่ แล้วก็ขับมันออกมาด้วยความเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เชื่องช้า นิ่มนวล เนิบนาบ แล้วหมดจด แผ่วเบา ยาวสนิท ถ้าทำได้วิธีนี้ก็จะเหมือนกับการเดินลมปราณในหนังจีนกำลังภายใน เป็นสุดยอดวิชากำลังภายในของไท้เก๊ก คนที่ฝึกกำลังภายในไท้เก๊กจะต้องฝึกการเดินลมอย่างนี้เป็นขั้นที่ 1 ยาว แผ่วเบา เชื่องช้า เนิบนาบ หนักแน่น และหมดจด นี่คือ เคล็ดของการเดินลมปราณ…….."

ขยายความ…..ตรงนี้ "หลวงปู่" พูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า วิธีหายใจของวิชาลม 7 ฐาน เหมือนกับสุดยอดวิชาลมปราณของไท้เก๊ก ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน !

(12) "คนที่ทำได้จะมีดวงตาอันแจ่มใส สมองปลอดโปร่ง จะมีชีวิตใหม่ในแต่ละวันที่สดชื่น มีชีวิตชีวา สุขสมบูรณ์ แถมยังมีพลังชีวิตที่เหลือเฟือที่จะใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีสมองและความคิดอันก้าวไกล ลิ้นรับรสได้อย่างสมบูรณ์และเต็มเปี่ยม หูฟังเสียงได้อย่างหมดจดและไกลกว่าใครอื่น จมูกได้กลิ่นมากกว่าคนอื่นได้ กายของตนก็จะตื่น ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบเลือดลมในกายก็จะขับถ่ายของเสียได้อย่างปกติ…….อย่าลืมว่า วิชานี้เราไม่ได้ฝึกกายแต่เรากำลังฝึกลมในกาย ผู้หญิงก็นั่งขัดสมาธิได้ลูก ไม่จำเป็นต้องนั่งพับเพียบลูก แต่นั่งให้ดีก็แล้วกัน…….."

(13) "สรุปอีกทีนะว่า เวลาหายใจต้องมั่นใจว่า การสูดลมเข้าของตนทำให้ปอดของตัวเองขยายใหญ่ให้มากที่สุด แล้วเวลาพ่นลมออก ปอดและถุงลมจะแฟบได้มากที่สุด เท่านั้นแหละลูก นี่แหละคือเคล็ดวิธี แต่จะต้องเป็นการกระทำที่นิ่มนวล เนิบนาบ ยืนยาว หนักแน่น หมดจด จงอย่าลืมว่าต้องไม่มีอารมณ์อะไร นอกจากลมหายใจนะลูก หากเริ่มมีกระบวนการคลื่นแห่งความคิดเข้ามาอีก และเป็นกระบวนการความคิดที่ทำลายสันติและพลังของเรา ถ้าขืนปล่อยให้ตัวเองเล่นกับ "ความคิด" ต่อไป ชีวิตไม่มีวันได้ดีหรอกลูก จงอย่าทำตนเป็นคนส้องเสพความคิด ความคิดที่ฟุ้งซ่านเป็นมารที่กำจัดความสำเร็จและความสมบูรณ์ของชีวิต ใครบ้างที่เล่นกับความคิดจงรู้ตัวไว้นะ คนเรานี่มีกลิ่นอายของมารและเทพอยู่ในตัว มันเป็นกลิ่นอายที่แสดงออกเป็นแสงและสีที่ไม่เหมือนกัน เหมือนกับเรามีประจุไฟฟ้าอยู่รอบ ๆ ในร่างกายเรา แล้วก็ฉายแววออกมาทางผิวหนัง คนที่มีคลื่นและพลังที่สามารถรับสัมผัสประจุไฟฟ้าเหล่านั้นได้ เขาจะบอกเราได้ว่า เรากำลังคิดอะไร…………"

(14) "เพราะฉะนั้นเราจะรู้ตัวของเราว่า เรามีความสุขสมบูรณ์ไหม กับการที่เราเริ่มเดินลมและเราได้อะไรจากมัน ไม่มีใครในโลกรักตัวเราเท่ากับตัวเราเอง ตัวเราต้องแสวงหาดิ้นรนขวนขวายสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อที่จะปิดประตูแห่งอบายภูมิให้ได้วิธีจะปิดประตูอบายภูมิ พวกเราต้องเปิดประตูวิญญาณของตนให้ได้ก่อน สิ่งที่หลวงปู่สอนพวกเราเมื่อครู่นี้แหละ คือกุญแจสำคัญที่จะไขประตูวิญญาณของเรา…… การฝึกลมอย่างนี้แหละ คือการเตรียมตัวเดินทางไกลได้ไกลที่สุด เพราะไม่มีอะไร ๆ นอกจากลมหายใจและความว่าง ๆ สบาย ๆ มันจะไกลจนถึงนิพพานทีเดียวแหละ ต้องการเลือกสวรรค์ยังได้เลย…….หลวงปู่กำลังสอนสุดยอดวิชาพระพุทธศาสนา คือวิชาลม 7 ฐานให้แก่พวกเรา จำได้แล้วอย่าลืมกลับไปฝึกให้ได้ทุกเช้านะ………….."






 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้