รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง , รศ.ดร.สุวินัย  ภรณวลัย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกจึงเป็นเรื่องระหว่างการบริโภคเกินตัวของสหรัฐฯ  ในด้านหนึ่ง  กับอีกด้านหนึ่งก็คือแนวทางการพัฒนาที่ไม่สมดุลของอีกหลายๆประเทศที่เอาแต่พึ่งพาการส่งออกเป็นสำคัญ
ความเสี่ยงของโลกจึงอยู่ที่จะทำอย่างไรไม่ให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำเมื่อมีการปรับตัว
การบริโภคเกินตัวของสหรัฐฯ  และยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศของคู่ค้าไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น  และอาเซียนที่เน้นบทบาทของการลงทุนและการส่งออกได้ทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดความไม่สมดุลอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
โลกจึงมาถึงทางสองแพร่งที่จะต้องเลือกเดิน  ทางหนึ่งคือปล่อยเลยตามเลยเพราะปัญหานี้มิได้เป็นปัญหาของประเทศใดเป็นการเฉพาะ  อีกทางหนึ่งที่ยากกว่าก็คือการปรับสมดุลเสียใหม่โดยลดการบริโภคของสหรัฐฯ  ในขณะที่เพิ่มการบริโภคจากประเทศอื่นๆ  เป็นการทดแทนความต้องการในสินค้าและบริการที่ขาดหายไปจากสหรัฐฯ
ทางเลือกทั้งสองทางล้วนมีความเสี่ยง  ในทางแรก การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ประสบมาเป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่า  อะไรที่ผิดธรรมชาติ มักจะอยู่ได้ไม่นานและต้องมีการปรับตัวในที่สุด  การบริโภคที่เกินตัวของสหรัฐฯ ก็เช่นกัน เพราะไม่ได้มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น  หากแต่มาจากหนี้สินที่ยืมมาบริโภคที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น  เมื่อหนี้สินต่อรายได้มีมากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะชำระหนี้ไม่ได้ก็มีสูง  การผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้เอกชนจึงทำให้สถาบันการเงินสหรัฐฯ  ที่เป็นเจ้าหนี้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ มีทรัพย์สินที่เป็นพิษในงบดุล  และต้องออกจากธุรกิจไป
ใครจะเชื่อว่า Merrill Lynch, Lehman Brother หรือ  AIG ที่ต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ของ Wall Street  จะต้องมีชะตากรรมล้มไปในคราวเดียวกันอันเนื่องมาจากวิกฤตเงินกู้ของผู้กู้ต่ำกว่าระดับ  (subprime crisis)  ที่เป็นเพราะความโลภของผู้ให้กู้ที่ไม่ระมัดระวังกับการบริโภคเกินตัวของภาคเอกชนสหรัฐฯ  แต่ที่ยังไม่เกิดกับภาครัฐแม้จะมีการขาดดุลคู่แฝดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เพราะรัฐบาลมีอำนาจที่เอกชนไม่มีที่สามารถเก็บภาษีหรือพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อมาชำระหนี้ของรัฐเองได้
แต่ภาษีก็มีขอบเขตที่กำหนดโดยกลไกราคาเช่นเดียวกับการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นเช่นกัน  การเสื่อมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจึงเป็น clear and present danger  ไม่เฉพาะสำหรับสหรัฐฯ เองแต่กับเศรษฐกิจโลกด้วย
รูป 1 การบริโภคครัวเรือน  เฉลี่ยระหว่างปี ค.ศ. 2007-8 (หน่วย : พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
การปรับสมดุลเศรษฐกิจโลกแม้จะเป็นทางเลือกในการแก้ไขที่ดีกว่าการปล่อยให้ปัญหาเป็นไปโดยไม่แก้  เพราะเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุ แต่ก็มีความเลี่ยงที่สำคัญก็คือ  การหดตัวที่อาจก่อให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกที่อาจเกิดขึ้นติดตามมา
ด้วยขนาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ  ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก การให้สหรัฐฯ ลดการบริโภคก็เท่ากับว่าให้สหรัฐฯ  ซื้อสินค้าจากประเทศอื่นๆ ในโลกน้อยลง ประเด็นก็คือจะหาใครมาเป็นผู้ซื้อทดแทน  ลำพังแค่สหรัฐฯ  ประสบปัญหาซื้อสินค้าได้น้อยลงจากวิกฤตเงินกู้ของผู้กู้ต่ำกว่าระดับที่เพิ่งผ่านมาก็ได้ทำให้เศรษฐกิจของหลายๆ  ประเทศในโลกถึงกับถดถอยหรือชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดรวมถึงไทยด้วยที่ต้องประสบปัญหาส่งออกไม่ได้  หากต้องให้สหรัฐฯ ปรับตัวในเชิงโครงสร้าง  ผลกระทบย่อมจะมีมากกว่าที่เคยประสบมาหรือไม่  นี่คือความเสี่ยงสำหรับทางเลือกนี้
อาจมีหลายคนชี้นิ้วไปที่จีน  เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตและขนาดเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนกลายมาเป็นเศรษฐกิจอันดับต้นๆ  ของโลก และที่สำคัญเป็นคู่ค้าที่ได้ดุลจากสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับต้นๆ อีกเช่นกัน  หากสามารถกระตุ้นให้จีนเพิ่มการบริโภคก็จะเป็นการใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกได้สองตัว  ที่แก้ทั้งการขาดดุลของสหรัฐฯ และการให้จีนเป็นผู้ซื้อรายใหม่ของโลกทดแทน  แต่ปัญหาที่สำคัญที่ควรพิจารณาให้ถ่องแท้ก็คือ จีนสามารถเข้ามาทดแทนสหรัฐฯ  ในฐานะผู้ซื้อของโลกได้หรือไม่?
ปัญหานี้มิได้อยู่ที่จีนมี effective demand  ที่มีแต่ความต้องการแต่ไม่มีเงิน  เพราะจีนในปัจจุบันมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสะสมอยู่เป็นจำนวนมากรายหนึ่งของโลก  หากแต่อยู่ที่การบริโภคของจีนอยู่ในระดับต่ำกว่าสหรัฐฯ  ค่อนข้างมากมีเพียงประมาณร้อยละ 15 ของการบริโภคครัวเรือนสหรัฐฯ ดังแสดงโดยรูปที่ 1  ข้างต้น ประเทศกลุ่มอียู 15  ประเทศรวมกันเสียอีกที่มีระดับการบริโภคครัวเรือนที่สูงใกล้เคียงสหรัฐฯ
นอกจากนี้แล้วสินค้าที่สหรัฐฯ  ซื้อหรือนำเข้าจากต่างประเทศก็แตกต่างไปจากที่จีนซื้อหรือนำเข้าจากต่างประเทศ  นอกจากน้ำมันแล้วสินค้าที่สหรัฐฯ  นำเข้าเป็นจำนวนมากก็คือรถยนต์และอุปกรณ์ที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อการบริโภค  ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ  สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในการผลิตรถยนต์  แต่ก็มิใช่เหตุผลทั้งหมดที่เป็นที่มาของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะหลังที่สำคัญ  หากแต่เป็นเพราะการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการบริโภคต่างหาก
กราฟแท่งที่กลับหัวอยู่ในรูปที่  2 ด้านล่างที่ในส่วนที่เป็นสีอ่อนจะแสดงถึงสินค้าประเภทพลังงาน เช่น  น้ำมันที่นำเข้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นในระยะหลังเป็นอันมาก  ในขณะที่ส่วนที่เป็นสีทึบส่วนต่อลงมาจะเป็นสินค้าเพื่อการบริโภคที่นอกเหนือไปจากน้ำมัน  เช่น รถยนต์  ที่มีมูลค่าขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากจำนวนที่เพิ่มมากกว่าราคาที่เพิ่มไปพร้อมๆ  กับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่แสดงโดยเส้นสีทึบเช่นกัน  การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวมาถึงในระดับ 800,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  จึงมีที่มาจากสินค้าสองชนิดนี้เป็นสำคัญ  ตัวหนึ่งเนื่องมาจากราคาและอีกตัวหนึ่งเนื่องมาจากปริมาณ
ในขณะที่จีนส่วนใหญ่นำเข้าสินค้าทุนหรือ  Intermediate products ที่มิใช่เพื่อการบริโภคแต่อย่างใด เช่น เครื่องจักร  เครื่องมือ จากญี่ปุ่นหรือประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ  เพื่อนำมาผลิตสินค้าภายในประเทศตนแล้วส่งออกไปขายนอกประเทศ เช่น สหรัฐฯ  อีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นข้อแตกต่างในชนิดของสินค้านำเข้าอย่างสิ้นเชิง
รูปที่  2 การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและประเภทสินค้าของสหรัฐฯ (หน่วย:  พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาอันเนื่องจากขนาดและรูปแบบของการบริโภคที่แตกต่างกัน  หากจะให้จีนเป็นผู้ซื้อทดแทนสหรัฐฯ จึงเป็นไปได้ยาก เพราะไม่สามารถจะเป็นเรื่อง  “ทวิภาคี” ระหว่าง 2 ประเทศคือสหรัฐฯ  และจีนแต่เพียงลำพังที่สามารถนำไปสู่หนทางการแก้ไขได้ ในทางตรงกันข้าม  ญี่ปุ่นและเยอรมนี กลับจะเป็นประเทศที่สามารถเข้ามาทดแทนสหรัฐฯ  ได้ดีกว่าจีนในฐานะผู้ซื้อของโลก เพราะทั้ง 2 ประเทศก็เกินดุลการค้าสหรัฐฯ  เป็นจำนวนมากเช่นกัน มีขนาดการบริโภคของประชากรสูงกว่าจีน  และมีรูปแบบการบริโภคที่ใกล้เคียงสหรัฐฯ  มากกว่า
ญี่ปุ่นและเยอรมนีจึงควรเป็นประเทศสำคัญที่มีบทบาทในการปรับความไม่สมดุลของโลกที่เกิดขึ้นเนื่องจากการพัฒนาที่ไม่สมดุลของหลายๆ  ประเทศที่ยึดเอาแนวทางการพัฒนาในภาคการส่งออกให้อยู่เหนือกว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆ  เพราะทั้ง 2  ประเทศต่างก็ยึดยุทธศาสตร์การพึ่งพาการส่งออกเป็นกลไกหลักในการสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาก่อน  มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ  อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนานและอาจมากกว่าจีนเสียด้วยซ้ำเพราะจีนเริ่มเกินดุลในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญก็เฉพาะในระยะ  10 ปีที่ผ่านมา หลังจากเปิดประเทศได้ไม่นาน  ในขณะที่ญี่ปุ่นและเยอรมนีมีรูปแบบการบริโภคที่คล้ายคลึงกับสหรัฐฯ  เพราะเป็นประเทศพัฒนาแล้วเช่นเดียวกัน การเข้ามาแทนที่สหรัฐฯ  จึงมีความเป็นไปได้มากกว่าจีน
ด้วยเหตุนี้  จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนี หรือแม้แต่ไทย  ต่างประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงครั้งหนึ่งเมื่อสหรัฐฯ  ประสบปัญหาวิกฤตเงินกู้ของผู้กู้ต่ำกว่าระดับเพราะต่างก็พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ  เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตนเอง  และมีความสำคัญอยู่เหนือกว่าอุปสงค์ภายในประเทศที่ในปัจจุบันอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนานดังจะเห็นได้จากอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของอุปสงค์ภายในประเทศอยู่ในระดับประมาณร้อยละ  1 ต่อปี
การกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศทั้ง 2  ด้วยการกระตุ้นการบริโภคจึงน่าจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเมื่อสหรัฐฯ  ต้องปรับตัวบริโภคให้น้อยลงมากกว่าที่จะมุ่งเป้ามาที่จีนหรือประเทศอื่นๆ