รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง , รศ.ดร.สุวินัย  ภรณวลัย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เงินบาทในปัจจุบัน “แข็ง” ค่าเกินไปไม่ “เหมาะสม”  
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่ใช้อยู่ก็ไม่“เหมาะสม”
อะไรคือความ  “เหมาะสม”  ใช่สิ่งเดียวกับที่นักการเมืองไทยชอบอ้างเพื่อสนับสนุนการกระทำของตนเองหรือไม่
น้ำท่วมในยุค  พ.ศ. 2553 ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงที่สังคมไทยอาจละเลยไปก็คือ  การอยู่กับน้ำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยมาโดยตลอด  น้ำจึงมิใช่ศัตรูที่ต้องไล่มันออกไปให้พ้น  ในทางตรงกันข้ามน้ำเป็นมิตรในการต่อต้านอริราชศัตรู เช่น พม่า  ที่ยกกำลังมาล้อมกรุงฯ ในอดีต น้ำท่วมในวันนี้จึงไม่ใช่ “วันสิ้นโลก” แต่อย่างใด  
ทำไมน้ำเมื่อเดือนตุลาคมจึงเป็นผู้ร้ายไม่เป็นที่ต้องการ  ในขณะที่น้ำเมื่อเดือนมีนาคมก่อนหน้านั้นกลับกลายเป็นพระเอกเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งไปได้
อัตราแลกเปลี่ยนก็เช่นกัน  หากไม่มองว่าความผันผวนของมันเป็นศัตรู ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ  หากแต่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้วไซร้  ประเด็นเรื่องค่าบาทแข็งหรือความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนก็มิใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปจริงไหม?
ในปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนจึงได้กลายเป็นสินค้าทางการเมืองด้วยการพยายามให้มี  “มือที่มองเห็น”  เข้ามาแทรกแซงฝืนธรรมชาติของมันทั้งที่รู้อยู่ว่ามีต้นทุนและจะไม่ประสบความสำเร็จแทนที่จะให้  “มือที่มองไม่เห็น” เข้ามาจัดการแทน
พ่อค้าที่แสร้งทำตัวเป็นนักวิชาการ เช่น  ณรงค์ (โชคฯ) ถึงกับบอกว่า  การปล่อยให้เงินบาทเป็นไปตามกลไกตลาดกลายเป็นความผิดอย่างมหันต์  ทำร้ายประเทศไปเสียฉิบ ทั้งๆ ที่ราคาสินค้าอื่นๆ ก็มิได้มีการแทรกแซงแต่อย่างใด  ในขณะที่อดีตนักวิชาการ เช่น วีรพงษ์ โอฬาร  ก็เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบคงที่เสียด้วยซ้ำ  แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้หลงลืมไปว่าธรรมชาติของเศรษฐกิจก็คือการอยู่กับความไม่แน่นอนหรือผันผวน  
ค่าบาทเมื่อก่อนปี พ.ศ. 2540 เมื่อราคาที่กำหนดโดยกลไกตลาด “อ่อน”  ไปก็บอกว่าไม่ได้ต้องรักษาให้ “แข็ง” เข้าไว้โดยฝ่าไฟแดงฝืนธรรมชาติของกลไกตลาด  แต่เมื่อมันได้ “แข็ง” ค่ากลับมาแล้วแม้จะยังไม่เท่ากับสภาพเดิมที่เคยเป็น เช่น 25  บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐกลับบอกว่า “แข็ง” ไปไม่ดีต้องแทรกแซงให้กลับมา “อ่อน” อีก  อะไรคือหลักการของสภาฯ ของนักอุตสาหกรรม พ่อค้าผู้ทำตัวเป็นนักวิชาการ เช่น ณรงค์  (โชคฯ) หรืออดีตนักวิชาการ เช่น วีรพงษ์ โอฬาร  พวกท่านล้วนมีบทบาทในเวลานั้นแทบทุกคน
หาก “ระบบ” อัตราแลกเปลี่ยนหมายถึง  กระบวนการที่มากำหนดอัตราแลกเปลี่ยน “ระบบ”  ที่นำมาใช้จึงเป็นกรอบแนวคิดหรือกติกาอย่างหนึ่งที่คนในสังคมรับรู้ร่วมกันว่า  การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้อยู่จะกระทำโดยกลไกตลาดแทนที่การกำหนดโดยใคร “บางคน”  เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงเป็นพลวัตไม่หยุดนิ่ง
และแม้ว่าไทยจะมีเงินทุนสำรอง  “มาก” ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาละลายเล่นด้วยการเข้ามาเลือก “ระบบ”  ที่กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่เหมือนดังเช่นอดีต  เพราะมีโอกาสที่จะสูญเสียเงินทุนสำรองฯ  อันเป็นทรัพยากรอันมีค่าไปอย่างเปล่าประโยชน์จากการพยายามรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่โดยฝืนกลไกราคาดังที่เคยประสบมาจากวิกฤตฯ  เมื่อปี พ.ศ. 2540  ซึ่งสังคมและประเทศโดยรวมไม่ได้อะไรขึ้นมาแต่อย่างใด
ประเด็นที่พลเมืองเข้มแข็งควรจะเรียนรู้อย่าให้ใครทำตัวเป็นพระเจ้าหลอกลวงท่านอีกต่อไปก็คือ  (1) ค่าบาทนั้น “แข็ง” ค่าเกินไปหรือไม่และ (2)  ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่ประเทศเราใช้อยู่มีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด
ในเชิงวิชาการ  อัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ในระดับใดจึงจะเหมาะสม ไม่ “แข็ง” หรือ “อ่อน”  เกินไปนั้นเป็นเรื่องยากที่จะตอบได้ หนทางที่จะบอกได้โดยง่าย  ต้นทุนต่ำและได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วโดยปราศจากข้อสงสัยก็คือ การให้  “มือที่มองไม่เห็น” หรือกลไกตลาดเป็นเครื่องมือที่ช่วยชี้บอกว่า “ความเหมาะสม”  ของอัตราแลกเปลี่ยนนั้นจะอยู่ที่ระดับใด
ข้อดีและได้เปรียบของระบบแบบลอยตัว  จึงอยู่ที่การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนโดยกลไกตลาด  เฉกเช่นของซื้อของขายในตลาดที่มีผู้ซื้อผู้ขายมากมายโดยทั่วไป  แม้จะไม่สามารถแน่ใจได้เต็มที่ว่าจะมีอิทธิพลของนักเก็งกำไรเข้ามาหรือไม่  แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการให้ใครบางคนเป็นผู้กำหนดเอง  เพราะแม้จะเก่งกาจหรือปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อนเพียงใดแต่ก็ยังเป็นมนุษย์มิใช่พระเจ้า  ขอบเขตของความสามารถจึงมีอยู่อย่างจำกัด
อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดในวันนี้อาจจะถูก  “มือที่มองเห็น” กำหนดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ “แข็ง” หรือ “อ่อน”  แต่หากยังคงอยู่ในระบบแบบคงที่ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าอนาคตในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อไป  อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ให้คงที่ก่อนหน้านั้นจะถูกต้องเหมาะสมตลอดไป  หรือในวันพรุ่งนี้จะสามารถกำหนดได้ถูกต้องอีกครั้งหรือไม่  เพราะธรรมชาติของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เป็นพลวัตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่คงที่
มิพักที่จะกล่าวถึงต้นทุนที่เกิดจากการเข้ามาแทรกแซงว่ามีเหตุผลเพียงใดที่ส่วนรวมจะต้องจ่ายเงินพยุงราคาค่าบาทให้กับคนบางกลุ่มได้ใช้ค่าบาทในราคาถูกกว่าความเป็นจริง  สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นข้อด้อยของระบบแบบคงที่ ซึ่งสภาฯ ของนักอุตสาหกรรม  ณรงค์ (โชคฯ) วีรพงษ์ โอฬาร  ซึ่งต่างก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียพยายามเรียกร้องให้นำกลับมาใช้อีกครั้ง
ส่วนข้อเรียกร้องเรื่องความผันผวนซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของระบบแบบลอยตัวที่สภาฯ  ของนักอุตสาหกรรม ณรงค์ (โชคฯ)  หรือผู้ที่ทำการผลิตในระบบเศรษฐกิจบางส่วนอ้างว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ในการดำเนินธุรกิจ  เพราะราคาต้นทุนบางส่วนอาจไม่นิ่งเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย  เมื่อต้นทุนไม่ “นิ่ง”  จะคิดราคาขายได้อย่างไร
ดูไปแล้วข้อเรียกร้องข้างต้นอาจมีเหตุผลมากกว่าข้อเสนอของอดีตนักวิชาการ  เช่น วีรพงษ์ โอฬาร  ที่พยายามจะหวนกลับไปสู่อดีตใช้ระบบแบบคงที่เสียอีก
ประเด็นในข้อเรียกร้องนี้จึงอยู่ที่ว่า  มีทางแก้ไขหรือไม่ หากมี  แต่มีต้นทุนในการแก้ไขหรือบรรเทาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนดังกล่าว สภาฯ  ของนักอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ณรงค์ (โชคฯ)  หากไม่โกหกตัวเองก็ควรจะทราบดีแก่ใจอยู่แล้วว่า มีทางแก้ไข แต่ก็มีต้นทุน  ซึ่งไม่อยากรับไว้ต่างหาก  การออกมาเรียกร้องให้กลับไปสู่ระบบแบบคงที่หรืออีกนัยหนึ่งก็คือให้รัฐเข้ามาแทรกแซงจึงสะดวกและ  (มัก) ง่ายมากกว่า พวกที่เป็นรายเล็ก เช่น SME  ต่างหากที่โดยเปรียบเทียบแล้วอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบมากกว่าในทุกๆ  ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านเงินทุนที่ไม่หนาหรือไม่มีปากเสียงมากเท่ากับรายใหญ่
ในระยะสั้น  ขณะที่รายใหญ่สามารถแสวงหาเครื่องมือบริหารความเสี่ยง (hedging instruments)  จากอัตราแลกเปลี่ยนได้โดยง่าย เช่น จากการซื้อสัญญาซื้อหรือขายล่วงหน้า (forward  contract) จากธนาคารพาณิชย์ แต่รายเล็กหรือรายย่อยที่เป็น SME  ต่างหากที่โดยเปรียบเทียบแล้วเข้าถึงเครื่องมือดังกล่าวได้ยาก  จะหันไปพึ่งตลาดอนุพันธ์ที่เป็น Thailand Futures Exchanges (TFEX)  ก็กลับมีสินค้าที่ไม่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจ เช่น อนุพันธ์ทองคำ ทั้งๆ  ที่จะมีผู้ใช้ทองคำมากน้อยสักเท่าใดในประเทศไทยหากเปรียบเทียบกับผู้ที่ต้องการใช้อนุพันธ์ในอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง  (จากอัตราแลกเปลี่ยน)
กลายเป็นสิ่งที่ควรมี เช่น  อนุพันธ์อัตราแลกเปลี่ยนกลับไม่มี ที่มีกลับเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นคืออนุพันธ์ทองคำ  แถมยังลดขนาดให้เหมือนกับหวยใต้ดินให้รายเล็กรายน้อยสามารถซื้อขายได้อีก
การบรรเทาความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าการบรรเทาความเสียหาย  ความคิดในการตั้งกองทุนเพื่อบรรเทาความเสียหายจากอัตราแลกเปลี่ยนหรืออะไรก็ตามแต่ที่มิใช่การบรรเทาความเสี่ยง  จึงเป็นเสมือนการเสนอบริการของเฮียปอ (เต็กตึ้ง)หรือพี่ร่วม (กตัญญู) อย่างแท้จริง  เพราะเป็นการช่วยเก็บศพมิใช่เป็นการกู้ภัยเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดแต่อย่างใด  
ในระยะยาว  การพึ่งพาแต่เพียงเครื่องมือบริหารความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นตลาดซื้อขายล่วงหน้าหรือตลาดอนุพันธ์  (Forward หรือ Future Market)  แต่เพียงลำพังเพื่อลดความเสี่ยงหรือผลกระทบนั้นคงเป็นไปได้ยาก
สิ่งที่ยังไม่เคยเห็นหรือได้ยินจากผู้ที่รับผิดชอบก็คือ  ค่าบาท “แข็ง”  ในปัจจุบันไม่ได้เป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนน้ำท่วมน้ำหลากในหน้าฝน  หากแต่เป็นภาวการณ์ที่ประเทศกำลังพัฒนา เช่น  ไทยต้องเผชิญตราบเท่าที่ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขให้หมดไป  
การปรับตัวของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจึงเป็น ugly truth  ที่นักอุตสาหกรรมทั้งหลายหรือแม้แต่ณรงค์ (โชคฯ)  ไม่อยากที่จะได้ยินเพราะหากินได้ยากกว่าเดิม เศรษฐกิจสร้างสรรค์หรือ creative  economy  ที่หลายคนพูดถึงแต่อาจไม่รู้ว่าคืออะไรนั้นจึงอาจเป็นทางรอดที่แท้จริงแต่ขาดคนสนใจเพราะทำให้รอดได้ยาก
ทำไมคุณประสาร  (ธปท.) คุณพรทิวา (พาณิชย์) คุณชัยวุฒิ (อุตฯ) คุณธีระ (เกษตร) หรือคุณกรณ์ (คลัง)  จึงทำเมินไม่ชี้แจงกับสังคมไทยอย่างตรงไปตรงมาว่าอุตสาหกรรมหรือกิจการใดที่มีกำไรหรือสร้างมูลค่าเพิ่มได้ต่ำเพราะไม่สร้างสรรค์หากินกับปัจจัยการผลิตราคา  “ถูก” ในอนาคตก็จะอยู่ไม่ได้ภายใต้ภาวะค่าบาท “แข็ง”  เพราะไม่มีปัจจัยการผลิตใดไม่ว่าจะเป็น แรงงาน ที่ดิน หรือแม้แต่ค่าบาท ที่มีราคา  “ถูก” ให้ใช้อีกต่อไปแล้ว และทางการก็ไม่สามารถเข้ามา “อุ้ม”  กิจการคุณไปได้ตลอด
ประสบการณ์ของญี่ปุ่น  เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าแม้ญี่ปุ่นจะถูกกดดันให้ปล่อยอัตราแลกเปลี่ยนของตนเองให้เป็นไปตามกลไกตลาดและทำให้ธุรกิจของตนเองเผชิญอยู่กับความผันผวนมาโดยตลอดกว่า  20 ปีแล้วนับจาก Plaza Accord แต่ทำไมรัฐบาลญี่ปุ่นจึงไม่หวนกลับไปใช้ระบบแบบคงที่  ทำไมญี่ปุ่นยังคงขีดความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้  ทั้งที่เอกชนมีบทบาทสูงต่อรัฐบาล แต่ทำไมกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพล เช่น สภาอุตฯ  สภาหอการค้า หรือ ฯลฯ  จึงไม่สามารถเอาประโยชน์ตนเองเป็นที่ตั้งโดยเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อนค่าหรือคงที่
สาเหตุสำคัญน่าจะอยู่ที่  “การปรับตัว”  และไม่ยินยอมให้เศรษฐกิจตนเองเลือกทางออกที่ง่ายในระยะสั้นแต่เคลือบไว้ด้วยยาพิษในระยะยาวต่างหากที่ทำให้ญี่ปุ่นอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้
เศรษฐกิจไทยถึงเวลาแล้วที่จะต้องแสวงหาปัจจัยที่เป็นความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง  เช่น การศึกษา การค้นคว้าวิจัย หรือแสวงหานักการเมืองที่มีคุณภาพ  มีความรู้ความสามารถ “ดี” กว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เข้ามาจัดการประเทศ  เพื่อนำมาทดแทนและเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในภาวะที่ทรัพยากรที่มีอยู่ถูกใช้ให้หมดไปมากแล้ว  มิใช่คิดจะอาศัยแต่เพียงอัตราแลกเปลี่ยนที่มิใช่ขีดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงอยู่ร่ำไป