รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง , รศ.ดร.สุวินัย  ภรณวลัย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การฝืนกลไกตลาดโดยการตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเองเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน  ก็เปรียบเสมือนการกระโดดออกจากชั้น 10  และหวังว่าจะฝืนแรงโน้มถ่วงโลกได้
ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกจึงเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของค่าบาท  “แข็ง” ในปัจจุบัน เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง เพราะเงินบาทมิได้ “แข็ง”  ค่าด้วยส่วนต่างของดอกเบี้ยนโยบายระหว่างไทยกับสหรัฐฯ  แต่เพียงปัจจัยเดียวดังที่หลายฝ่ายพยายามจะโยนความผิดให้ ธปท.  ความไม่สมดุลดังกล่าวจึงมีสาเหตุมาจากทั้ง (1) การบริโภคเกินตัวในสหรัฐฯ พร้อมๆ กับ  (2) แนวทางการพัฒนาที่มุ่งเน้นการส่งออกของประเทศที่เป็นคู่ค้าและเกินดุลกับสหรัฐฯ  ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี หรือไทย
สหรัฐฯ  ซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วจึงกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาเงินออมจากต่างประเทศเพื่อชดเชยการบริโภคเกินตัวของตนเองที่เศรษฐกิจภายในประเทศไม่สามารถสนองตอบได้  แทนที่จะเป็นไปในทางตรงกันข้ามตามทฤษฎีที่เชื่อกันว่าประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาเช่นไทยต่างหากควรจะเป็นเช่นสหรัฐฯ  ในปัจจุบัน
สภาพแวดล้อมที่สำคัญที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือ  การเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีข้ามพรมแดนโดยที่กฎระเบียบที่เป็นข้อกีดขวางได้นข้อกีดขวคลายตัวลงและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีมากขึ้น  เช่น อินเทอร์เน็ต  ทำให้ต้นทุนการเคลื่อนย้ายเงินทุนข้ามประเทศมีราคาถูกลงเป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
การปรับสมดุลให้สหรัฐฯ  บริโภคน้อยลงและหาประเทศใดขึ้นมาเป็นตัวแทนสหรัฐฯ  ในฐานะผู้ซื้อรายใหญ่ของโลกแทนจึงมิใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายๆ โดยข้อเสนอที่  “ง่ายและดูดี” แต่มิได้แก้ปัญหาที่แท้จริงด้วยการทำให้เป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศ  โดยอาศัยการปรับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง หยวนกับดอลลาร์สหรัฐ ด้วยการให้ค่าเงินหยวน  “แข็ง” ขึ้น เพราะจีนคงไม่อยากเป็น “แพะ” ดังเช่นที่ญี่ปุ่นเคยเป็นเมื่อทศวรรษที่  1980-90
เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่นและเยอรมนี  ที่แม้จะมีศักยภาพและความเหมาะสมมากกว่าจีนในการเป็น “ตัวปรับ”  สมดุลของโลกแทนที่สหรัฐฯ เพื่อมิให้เศรษฐกิจโลกประสบปัญหาถดถอยเมื่อสหรัฐฯ  ต้องถอยฉากปรับตัวลดการบริโภคที่เกินตัวลง  แต่ฝ่ายการเมืองของประเทศทั้งสองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจของตนเองแต่อย่างใด  การเข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลร่วม เช่น ยูโร  ที่ตรึงค่าให้คงที่ระหว่างสมาชิก ยิ่งทำให้เยอรมนีมีข้ออ้างมากขึ้นในการไม่เป็น  “ตัวปรับ” สมดุลของโลกแทนที่สหรัฐฯ ทั้งในด้านการยอมให้ค่าเงินตนเองให้ “แข็ง”  ค่าขึ้นหรือการเพิ่มการขาดดุลงบประมาณเพื่อลดการเกินดุลการค้า
การบีบให้จีนยินยอมให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นโดยการสร้างภาพให้เป็นเรื่อง  “ทวิภาคี” ระหว่างสหรัฐฯ  กับจีนจึงน่าจะเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่าด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเพราะด้วยข้อเท็จจริงที่ปรากฏจีนไม่สามารถทดแทนสหรัฐฯ  ในการบริโภคของโลกได้
ปัญหาค่าบาท “แข็ง” จึงมิใช่ปัญหาระยะสั้น  มิใช่ปัญหาที่จะแก้ได้โดยไทยฝ่ายเดียว  หากแต่เป็นปัญหาที่ควรจะใช้ให้เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมิให้บิดเบี้ยวโดยพึ่งพาแต่การส่งออกแต่เพียงลำพังอันเป็นที่มาของการฉวยโอกาส  “ข่มขู่” ของคนที่เกี่ยวข้อง
วิวาทะเรื่องค่าบาท “แข็ง”  ในสังคมไทยได้เปิดเผยถึงตัวตนที่แท้จริงและความโลภที่แต่ละคนมีอยู่อย่างล่อนจ้อนไม่มีอะไรมาปิดบัง
ประเทศไทยได้ออกจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ที่ใช้อยู่มากว่า  2 ทศวรรษเมื่อ 2 ก.ค. 40  ด้วยสาเหตุที่สำคัญก็คือไม่มีเงินทุนสำรองเหลือให้นำไปแทรกแซงค่าเงินบาทให้ “คงที่”  กับดอลลาร์สหรัฐอีกต่อไป  หากไม่แทรกแซงรับซื้อส่วนเกินหรือขายส่วนขาดให้กับผู้ที่ต้องการดอลลาร์สหรัฐ  อัตราแลกเปลี่ยนก็จะไม่สามารถ “คงที่” ตามที่ต้องการได้ เป็น “มือที่มองเห็น”  ดุจเดียวกับนายบ่อนที่ตั้งอัตราต่อรองเอาไว้  หากจะให้อัตราต่อรองของตนศักดิ์สิทธิ์คงที่ก็ต้องรับซื้อรับใช้ไม่จำกัด  ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ก็เช่นกันที่รัฐต้องทำตัวเป็นนายบ่อนที่ว่า
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกประกาศใช้หลังจากเวลานั้นก็คือ  ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว  สิ่งที่พลเมืองเข้มแข็งควรจะทราบต่อไปก็คือเมื่อเป็นแบบลอยตัว  ค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐหรือเงินสกุลอื่นๆ  จะถูกกำหนดโดยกลไกตลาดหรือเป็นไปตาม “หัตถ์ของพระเจ้า” ที่เป็น มือที่มองไม่เห็น  (invisible hands) เป็นสำคัญ 
หากมีดอลลาร์สหรัฐเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น  ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบเป็นบาทก็จะมีราคาลดลงหรืออีกนัยหนึ่งก็คือเงินบาทมีค่า  “แข็ง” ขึ้นเพราะมีจำนวนดอลลาร์สหรัฐในตลาดมากขึ้นนั่นเอง  ความผันผวนในราคาของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐหรือที่เรียกว่าอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีมากกว่าเมื่อเทียบกับระบบแบบคงที่  ค่าบาทจะ “แข็ง”  มากหรือน้อยขึ้นเร็วหรือช้าอยู่กับว่ามีดอลลาร์สหรัฐเข้าออกประเทศไทยมากน้อยและรวดเร็วเพียงใด
การแทรกแซงและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็นประเด็นสำคัญ  ประเทศไทยจึงต้องเลือกระหว่าง “มือที่มองเห็น” กับ “มือที่มองไม่เห็น”  ในการเข้ามาแทรกแซงกำหนดค่าอัตราแลกเปลี่ยน  แม้จะประกาศใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว แต่หากมีการแทรกแซงด้วย  “มือที่มองเห็น” อยู่เป็นประจำภายใต้ข้ออ้างของการลดความผันผวน  ความเชื่อมั่นในระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ประเทศไทยประกาศใช้ก็จะเสื่อมลงเพราะประกาศอย่างทำอย่าง
สิ่งสำคัญที่จะติดตามมาจากการเข้าแทรกแซงก็คือผลกำไรหรือขาดทุนจากการแทรกแซงซึ่งเป็นสิ่งที่  “มือที่มองเห็น”  ไม่อยากทำเพราะฝ่ายการเมืองส่วนใหญ่จะไม่เข้ามารับผิดชอบเมื่อเกิดเป็นปัญหาดังเช่นกรณี  เริงชัยกับอำนวย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2539 ถึงต้นปี พ.ศ. 2540  จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ว่า  ธปท.เพียงคนเดียวจะสามารถทำความเสียหายได้สูงขนาดแสนล้านบาทโดยที่รัฐมนตรีที่ดูแลไม่รู้เห็นและไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด
การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็น  “ธง”  ในการดำเนินนโยบายการเงินในขณะที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวในสภาพแวดล้อมของการเคลื่อนย้ายเงินข้ามประเทศได้อย่างเสรีจึงเป็นเรื่องของนโยบายที่ต้องทำให้สอดคล้องกัน
วิกฤตการเงินและเศรษฐกิจเมื่อปี  พ.ศ. 2540 ได้สอนบทเรียนที่แสนจะเจ็บปวดให้กับคนไทยทุกคนแล้วว่า  หากจะเปิดให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนข้ามพรมแดนโดยเสรีแล้วไซร้  นโยบายที่ต้องดำเนินการให้สอดคล้องตามไปด้วยกันก็คือต้องเลือกระหว่างระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่กับอำนาจในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น  หากจะเลือกแสดงอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจให้เห็นเป็นประจักษ์โดยการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในประเทศได้เอง  อัตราแลกเปลี่ยนก็ต้องปล่อยให้เป็นแบบลอยตัว
จะเลือกทั้ง 3  อย่างคือเงินทุนเคลื่อนย้ายได้โดยเสรี  คงที่อัตราแลกเปลี่ยนและกำหนดอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศไปพร้อมกันนั้นทำไม่ได้  เพราะเงินทุนที่ไหลเข้าออกโดยเสรีจะทำให้ทางการเข้ามาแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่ได้ยากเพราะฝืนธรรมชาติและใช้ต้นทุนสูง  ยิ่งกำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่โดยไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากเท่าใดก็เปรียบเสมือนทำตัวฝืนแรงดึงดูดของโลก  ทำให้ต้นทุนในการแทรกแซงมีมากและในที่สุดก็ไม่สามารถฝืนธรรมชาติหรือกลไกตลาดได้  ประสบการณ์เมื่อคราววิกฤตเมื่อปี พ.ศ. 2540  น่าจะสอนให้รู้ว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่สามารถถูกนำมาแทรกแซงจนหมดได้โดยง่าย  เพราะอะไรที่บิดเบือนไม่เป็นไปตามธรรมชาติก็จะอยู่ได้ไม่นาน
ข้อเสนอการกลับไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่จึงไม่เหมาะสมในสภาพทางเศรษฐกิจปัจจุบันที่อยู่ภายใต้การโยกย้ายเงินทุนโดยเสรีข้ามประเทศ  และทางการต้องการอำนาจในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย จะต้องให้  ธปท.เอาเงินของคนไทยทุกคนมาแทรกแซงช่วยคนกลุ่มเดียวได้อย่างไรเพราะมีหลายคนอาจมิได้เกี่ยวข้องกับการส่งออก
ในทำนองเดียวกันการมุ่งเน้นลดดอกเบี้ยเพื่อชะลอการเคลื่อนย้ายเงินทุนก็เป็นการแสดงความเห็นแก่ตัวของบรรดานักอุตสาหกรรมรายใหญ่ที่อ้างรายเล็ก  เช่น SME บังหน้าเพราะรายใหญ่ได้ประโยชน์จากการเพิ่มลดดอกเบี้ยมากกว่า  ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ  ที่มีอยู่นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการชดเชยความเสี่ยงในการลงทุน  นอกจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ซ่อนเอาไว้จะทึกทักให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ  มีความเสี่ยงเท่ากับไทยได้อย่างไร  แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือการกดดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้ามากเกินทำให้บาท  “แข็ง”  จะมีผลข้างเคียงทำให้เกิดปัญหาคนไม่ต้องการออมเนื่องจากผลตอบแทนต่ำกว่าเงินเฟ้อซึ่งเป็นผลเสียต่อส่วนรวมในเชิงโครงสร้างมากกว่าผลได้ของคนบางกลุ่ม
แม้เงินเฟ้อจะต่ำในขณะนี้  แต่เป้าหมายเงินเฟ้อก็ยังเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมกว่าเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนเพราะการคงดอกเบี้ยเพื่อรักษาเงินเฟ้อมีผลต่อส่วนรวม  ต่างกับการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงอัตราแลกเปลี่ยนให้ค่าบาท “อ่อน”  ที่มีทั้งคนได้คนเสียใกล้เคียงกันหากทำสำเร็จ  แต่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของปัจเจกชนมิใช่หรือที่จะต้องดูแลปกป้องตนเอง
ประเด็นวิวาทะเรื่องการแทรกแซงและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจึงอยู่ที่การผลักภาระความรับผิดชอบในการดูแลตนเองของปัจเจกชนมาให้รัฐดูแลโดยใช้เงินส่วนรวม  
ค่าเงินบาทจะ “แข็ง” หรือ “อ่อน” ประเด็นปัญหาของปัจเจกชนอยู่ที่ currency  mismatch หรือการมีรายรับกับรายจ่ายในเงินต่างสกุลกัน  ซึ่งสามารถแก้ไขได้แต่มีต้นทุน  เอกชนบางกลุ่มจึงพยายามผลักมาให้คนไทยทุกคนร่วมรับภาระด้วยภายใต้ข้ออ้างต่างๆ นานา  ดังนั้น  จึงมีเหตุผลสมควรหรือไม่ที่ต้องเอาเงินของส่วนรวมไปใช้เพื่อใครบางคน?
เช่นเดียวกับความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนที่เอกชนบางกลุ่มพยายามโยงให้คนในสังคมเข้ามาร่วมรับภาระในการแทรกแซงให้ขึ้นลงอย่างช้าๆ  ซึ่งผิดธรรมชาติ หากเป็นสินค้าที่พวกเขาขายอยู่หรือเป็นราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์  หากมีใครพยายามจะแทรกแซงให้ขึ้นราคาช้าๆ  เจ้าของสินค้าหรือหุ้นเหล่านั้นจะยอมหรือไม่?
เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ในด้านหนึ่งหลายฝ่ายต่างพอใจและประโคมข่าวเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยที่เติบโตสูงได้เพราะส่งออกได้มาก  แต่เมื่อถึงเวลาที่จะอยู่กับความสำเร็จกลับประพฤติตนในทางตรงกันข้าม  ยังเรียกร้องให้มีการ “อุ้ม” หรือ “แทรกแซง”  อัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่ทั้งที่มีต้นทุนสูงและยากที่จะกระทำเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน  ตกลงแล้วนี่เป็นความสำเร็จหรือความแข็งแกร่งที่ “จอมปลอม” ใช่หรือไม่?  
อัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็นดังเช่นราคาน้ำมันที่มักถูกนำมาเป็นสินค้าทางการเมืองให้มี  “มือที่มองเห็น”  เข้ามาแทรกแซงฝืนธรรมชาติของมันทั้งที่รู้อยู่ว่ามีต้นทุนและจะไม่ประสบความสำเร็จแทนที่จะให้  “มือที่มองไม่เห็น” เข้ามาจัดการแทน  ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พลเมืองเข้มแข็งควรจะเรียนรู้ อย่าให้นักการเมือง นักวิชาการ  หรือใครก็ตามแต่มาทำตัวเป็นพระเจ้าหลอกลวงท่านอีกต่อไป